หน้าเว็บ

กลอน


รวมผลงานการแต่งกลอน
ของ
พระมหาทองสมุทร ธมฺมาทโร
พระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ 12

วัฏฏะ ๓

วัฏฏะสาม นั้นหรือ คือสิ่งมัด
ทำให้สัดว์ เวียนว่าย ให้ไหลหลง
หากใครอยู่ ในสิ่งมัด วัฏฏะวง
จะงวยงง เกิดอยู่ รู้ไว้เอย
เตภูมิกะ นั้นหรือ คือภูมิสาม
ทั้งที่งาม และไม่งาม ตามเฉลย
คือนรกภูมิ กลุ่มสวรรค์ นิพพานเอย
บางท่านเอ่ย เป็นภูมิจิต มิผิดแปร
นรกภูมิ กลุ่มสวรรค์ นั้นภพมัด
ทำให้สัตว์ ต้องเตลิด เกิดแน่ๆ
ส่วนหากสัตว์ ถึงนิพพพาน ไม่ผันแปร
หยุดเกิดแน่ ตัดสงสาร สำราญเอย
อันกิเลส, กรรม,วิบากชุด ดุจต้นเหตุ
วัฏฏาเพศ เหตุใหเกิด อย่าเพิกเฉย
หากตัดสิ่ง เหล่านี้หนา จะเสบย
นิพพานเลย เฉยนรกสวรรค์ เท่านั้นเอง


ธัมมัสวนานิสงส์
 อันผู้ใด ฟังธรรม สุดล้ำเลิศ
ก่อให้เกิด ผลา อานิสงส์
ย่อมได้ฟัง สิ่งไม่เคย- ฟังเลยงง
พอพระสงฆ์ เทศน์บรรยาย ได้สุขใจ

แต่สิ่งใด ได้ฟังแล้ว ยิ่งแจ๋วชัด
และขจัด สิ่งให้งง หายสงสัย
ทำความเห็น ให้ถูกต้อง ไม่หมองใน
เกิดจิตใจ ผ่องแผ้ว แก้วนพคุณ



อย่าใช้อารมณ์
อันโทสะ นั้นร้าย รู้ไว้เถิด
เพราะมันเกิด เร็วฉับไว ดังไฟสุม
หากสติ ไม่ตามทัน มันจะลุม
จะกลัดกลุ้ม ภายหลัง พังทลาย

""กระแสโลกกระแสธรรม""

กระแสธรรม คำจุน อุดหนุนโลก
ระงับทุกข์ ระงับโศก โลกสุขสันต์
กระแสโลก วุ่นวาย ร้ายอนันต์
รู้เท่าทัน ด้วยสติ วิจารณญาณ

""ปีเก่า ปีใหม่""

จะปีเก่า หรือปีใหม่ ใจเท่านั้น
รักษากัน ให้ดี อย่ามีหมอง
หากรักษา ให้คงที่ ดีเรืองรอง
ไม่เศร้าหมอง ปีเก่าใหม่ ไม่สำคัญ 

""คบคน คบธรรม""
คบคนดี เป็นศรี ดีอุปถัมภ์
คบพระธรรม ฉ่ำสุข ทุกข์เหือดหาย
หากคบคน อัปรีย์ นี้จัญไร
โลกวุ่นวาย ไม่สงบ ต้องคบ"ธรรม

""โทรศัพท์""
โทรศัพท์คือ?
...........................

โทรศัพท์ ได้ยินใกล้ เสียงจากไกล
คือความหมาย แห่งทูระ สัททะเสียง
จะมือถือ หรือโทรศัพท์บ้าน นั้นก็เปลือง
เสียงสำเนียง จากที่ไกล ให้ระวัง

โทรศัพท์ แปลว่า "เสียงจากที่ไกล"

""พระภิกษุ""

พระภิกษุ คือผู้เห็น เด่นพิเศษ
วัฏฏาเพศ เวียนวน ทนไม่ไหว
เห็นวิบาก กรรม,กิเลส เป็นเภทภัย
เกิด,แก่,เจ็บ เวียนตาย มันร้ายจริง
(พระภิกษุ คือผู้เห็นภัย ในสงสารหรือ สังสารวัฏฏ์ )

""เคล็ดชีวิต คลิ๊กที่เว็บฯ""
เคล็ดชีวิต คำนี้ มีความหมาย
เมื่อกายใจ เป็นทุกข์ ไม่สุขสันต์
ก็แก้ด้วย สติดู รู้เท่าทัน
อย่าผลุนผลัน หยุดคิด พินิจดู
คลิ๊กที่เว็บ คำนี้ ที่สุดฮิต
เมื่อชีวิต ถึงคราวซวย ไม่สวยหรู
แต่อยากหา ธรรมะ มาช่วยชู
แต่ไม่รู้ แหล่งค้น จนปัญญา
คลิ๊กที่เว็บ นี่ไง ทันใจยิ่ง
search
หาสิ่ง ธรรมพิศมัย ใจใฝ่หา
ธรรมะดี มีที่เว็บ สมัชชาฯ
วิจิตรา เว็บสวย ด้วยอรรถธรรม


" ตายคือ..."
คำว่าตาย นั้นหรือ ก็คือติ 
แล้วเอาอิ เป็นอายะ ตะผสม 
ได้ความหมาย เป็นไตรลักษณ์ ประจักษ์คม 
มันทรุดโทรม เปลี่ยนสลาย ให้พิศดู
ใช้ปัญญา สอดส่อง จะมองเห็น 
สิ่งทั้งสาม มันซ่อนเร้น เห็นอดสู 
สิ่งประจำ สังขาร ให้หมั่นดู 
แล้วจะรู้ การวางใจ ได้ละวาง
ตายมี ๒ อย่าง
....................................

คำว่าตาย ของคนเรา ที่เข้าใจ 
คือหลับใหล ใจขาด ไม่อาจฟื้น 
วิญญาณปราศ กายทรุด ดุจท่อนฟืน 
ไปภพอื่น วิญญาณลับ ไม่กลับมา
นี่คือตาย ที่เราเขา เข้าใจกัน 
แต่ตายนั้น มีสอง ต้องศึกษา 
ตายที่หนึ่ง เรียกว่า ปฏิจฉันนะมรณา(ตายแบบเปิดเผย) 
อาสัญญา ที่เราผอง ไม่ต้องการ
คือตายเน่า ไม่ฟื้น คืนมาได้ 
ตายขาดใจ ไปแน่ คนแห่หาม 
อันนี้เรียก ปฏิจฉันนะ- มรณาม 
ทั่วเขตคาม ใครก็รู้ ดูน่ากลัว
ตายอีกแบบ ที่เรานั้น ดันไม่เห็น 
ตายทั้งเป็น ที่หายใจ ไม่สลัว 
ตายแบบนี้ มีค่ำเช้า เราไม่กลัว 
ทุกท่วนทั่ว ให้รู้ไว้ ตายทุกวัน
ตายแบบนี้ เรียกว่า อัปปฏิจฉันนะ (ตายแบบไม่เปิดเผย) 
ตายจะจะ ยิ่งร้าย ตายสุขสันต์ 
หายใจไป ตายไป ให้รู้กัน 
เพราะทุกวัน เราเกิดดับ นับไม่พอ
ในตัวเรา มีตายเกิด เปิดสลับ 
หมั่นคอยนับ ลมหมายใจ กันไว้หนอ 
หากเจริญ สัมปชัญญะ สติคลอ 
หมั่นยุบหนอ พองหนออยู่ จะรู้ตาย

พระพุทธเจ้าทรงให้นึกถึงความตาย


พระพุทธองค์ ทรงให้ ได้ระลึก 
ตรึกตรองนึก ถึงความตาย ให้หลายครั้ง 
คือเจริญ สติ วิปัสสนัง 
เห็นพลัง แห่งเกิดดับ รับปัญญา
พระอานน์ ทูลถวาย ได้ระลึก 
ตริตรองนึก ความตาย ในสังขาร์ 
ทั้งเจ็ดวัน ได้ดำริ พิจารณา 
องค์พุทธา บอกว่าน้อย ยังด้อยไป
.....................................

หากคิดถึง ความตาย สบายนัก 
มักหักรัก หักหลง ในสงสาร 
ขจัดมืด โมหันต์ อันธกาล 
ทำให้หาญ หายสะดุ้ง ไม่นุงนัง
หมั่นเจริญ สมาธิ จิตแก่กล้า 
ให้ปัญญา แทงทะลุ จะสุขัง 
สติพร้อม คุมเสริม เพิ่มพลัง 
จะลุกยืน นั่งหนอ ก็สบาย

.....................................



อานิสงส์การพิจาณาความตาย 
ผู้ที่พิจารณาความตาย จะสบายเพราะ...
เพราะจะไม่ ประมาท พลาดในวัย 
จะตั้งใจ ร่ำเรียน เพียรศึกษา 
เพราะว่ารู้ ชีวิตนี้ มีมรณา 
ที่โอบอ้า รอเราอยู่ เป็นคู่กาย
จะไม่ได้ ประมาททุน บุญกุศล 
จะเพิ่มพล ความดี ที่เฉิดฉาย 
จะสั่งสม บุญญา มาสู่กาย 
จะไม่ได้ เผลอไผล ใจมืดมล
จะเป็นผู้ เท็กแคร์ ดูแลจิต 
ทุกนาที ชีวิตใจ ไม่สับสน 
จะเป็นผู้ สง่า กว่าหลายคน 
ประเสริฐล้น ความตาย ได้พิจารา
............................................
ดอกไม้พระอรหันต์ 
........................... 
อันดอกไม้ พระอรหันต์ นั้นคือศพ 
ตัดชาติภพ เวียนว่าย ได้สุขสันต์ 
เพราะเห็นศพ เหมือนเห็นตาย ได้ผลพลัน 
เพราะเกิดปัญ-ญาญาณ ท่านเห็นจริง
หากเราทำ ได้เด่น เช่นอรหันต์ 
คงสักวัน สักภพ ประสบหนิง 
เกิดปัญญา สว่าง ทางรู้จริง 
สุขแอบอิง กุศลสร้าง ทางนิพพาน
............................
บุพพกิจ บุพพกรณ์ ก่อนตาย 
หากเราสามารถตั้งสติได้ ก่อนตาย จะต้อง เตรียมตัวอย่างไรดี..? 
........................
กิจก่อนตาย ตั้งใจ รู้ไว้เถิด 
ตายจะเกิด กับเราเขา เข้าสุสาน 
ต้องเตรียมใจ ไว้ย้อน ก่อนถึงวัน 
เพราะฉะนั้น เตรียมกายใจ ไว้ดังนี้
อันที่หนึ่ง ละห่วงนอก จะบอกให้ 
ทำจิตใจ ให้สว่าง สร้างวิถี 
จงสละ ความติดยึด ประพฤติดี 
อันใดมี ที่ทำให้ ใจหมองมัว
เช่นเรือกสวน ไร่นาหนอง พ้องลูกหลาน 
จะสละ ทุกด้าน กันสลัว 
คุมสติ ให้เจิดจ้า จงอย่ากลัว 
อย่าเมามัว ติดทรัพย์สิน ก่อนสิ้นใจ
อันที่สอง ต้องสละ ในสังขาร์ 
ทิ้งกายา ตัดบ่วง อย่าหน่วงไว้ 
ให้คิดว่า ธรรมดา ต้องลาไป 
อย่าห่วงใย ทั้งกายจิต พินิจดู
อันที่สาม ตามติด ให้คิดย้อน 
ถึงกาลก่อน ตอนทำบุญ ทุ่มทุนสู้ 
คิดถึงทาน ถึงศีล ถิ่นเฟื่องฟู 
ให้ใจรู้ เรื่องกุศล พ้นภัยพาน


หากทำย้อน ก่อนตาย ได้เช่นนี้ 
จิตจะมี แต่สุข สนุกสนาน 
จะไปดี สู่ปรโลก ไม่โศกกันต์ 
จะชื่นบาน มีคติ ที่สวยงาม 
.......................................

ความตาย ในอีกความหมายหนึ่งคือ....ผู้ที่ไม่ประมาท ชื่อว่าผู้ไม่ตาย 
.......................
ผู้ตั้งใจ ไม่ประมาท ประกาศชัด 
ผู้ฝึกหัด ฝึกสติ มิเผลอไผล 
ผู้ดำริ พิจารณา สังขารนัย 
ผู้ตั้งใจ ลดเลิกละ ประพฤติธรรม
นี่นะแหละ จงรู้ ผู้ไม่ตาย 
ความดีได้ ตามพจนะ ของพระสัมม์ 
ไม่ตายจาก ความดี ที่ได้ทำ 
ชีวิตงาม ธรรมค้ำจุน อุ่นสบาย
......................................
ความตายในอีกความหมายหนึ่งคือ...ผู้ประมาท ชื่อว่า ผู้ตายแล้ว
หากผู้ที่ ยังประมาท พลาดพลั้งผิด 
ไม่ได้คิด ก่อทุน บุญกุศล 
ปล่อยชีวิต กับกาลเวลา พามืดมล 
หนีไม่พ้น ห่างหาย ตายจากดี
.......................................... 
พระไตรลักษณ์ อุปัตติ ที่เกิดขึ้น 
อย่าไปฝืน ต้องรับรู้ เป็นครูใหญ่ 
อุปาทะ ตั้งอยู่ แล้วดับไป 
ต้องเข้าใจ สติดู รู้เท่าทัน
อย่าไปยึด ไปติด จิตฝังผูก 
ถึงจะทุกข์ อย่าตีโผย หรือโหยหัน 
หากมีสุข อย่าลิงโลด โปรดรู้กัน 
เพราะสักวัน มันก็ไป ให้รูตาม 
...................................... 
ลักษณะของสังขาร
อุปาทะ เกิดขึ้น ทุกคืนค่ำ 
ฐิตินำ ตั้งอยู่ เหมือนภูผา 
ภังคะดับ แตกสลาย ในโลกา 
พิจารณา ให้แยบคาย ไม่คงทน
อันนี้แหละ ลักษณะ ของสังขาร 
เมื่อวันวาน ยังสดใส ไม่สับสน 
เพราะมันตั้ง ในวิถี ฐิติดล 
กาลเลยพ้น จึงโรยร่วง ไม่ห่วงเรา
เราเป็นเพียง ผู้รู้ ดูเกิดดับ 
หมั่นคอยนับ พองยุบ หยุดความเหงา 
รู้แตกดับ ไม่เที่ยง เหมือนเพียงเงา 
เกาะกุมเข้า แล้วแตกไป ไม่จีรัง
..........................................
พิจารณาสังขารดุจฟองน้ำ
จงดูเหมือน ฟองน้ำ ยามฟองฟู่ 
เหมือนดังภู ดูสง่า เหมือนผาหิน 
แต่สักครู่ ภูผานั้น ดันพังภินท์ 
รูปกลับกลาย สลายสิ้น กลับภินท์พัง
สังขารเรา จงเห็น เป็นเช่นนั้น 
ก็เหมือนกัน กับฟองน้ำ ยามกุมขัง 
ก่อเกิดขึ้น สักพัก ก็หักพัง 
ไม่จีรัง สังขาร ไม่ทานทน
.........................................
พิจารณาสังขารดุจพยับแดด
ดูชีวิต ให้เหมือนกับ พะยับแดด 
ยามร้อนแผด ก่อตัวเด่น เป็นสังขาร 
แต่สักพัก สลายไป ไม่อยู่นาน 
ปัญญาญาณ เห็นเช่นนี้ มีสุขจริง
....................................................

"อนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิตะวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข"
แปลรวมความว่า
อนิจจา สังขาร ไม่เที่ยงหนอ 
มีเกิดก่อ พังยุบ บุบสลาย 
ครั้นเกิดแล้ว ไม่จีรัง พังทะลาย 
การเข้าไป ดับสังขาร พานสุขจริง
.......................................


อะจิรัง วะตะ ยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสะติ 
ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัตถัง วะ กะริงคะรัง
แปลรวมความว่า
ไม่นานหนอ กายนี้ จะนอนนิ่ง 
กายจะทิ้ง ตนลงแคร่ นอนแผ่หรา 
บนกองซาก กากดิน ถิ่นพสุธา 
ปราศวิญญาณ์ ดุจท่อนไม้ ไร้คนมอง
........................................


""กาลเวลา""

กาลเวลา หมุนเวียน เปลี่ยนแปรผัน
คืนและวัน ลาลับ ดับเลือนหาย
การเวลา ผลาญสัตว์ ซัดให้ตาย
ต้องมลาย ตายสิ้น ทุกอินทรีย์
ปัจจุบัน นั้นเหมือนกับ ภาพลวงตา
พอไม่ช้า ก็กลับกลาย ตายเป็นผี
ตอนยังอยู่ ก็ควรสร้าง ความดี
ผลบารมี เป็นเครื่องค้ำ ช่วยนำพา
ตัวตายแล้ว ชื่อเสียงนั้น พลันปรากฎ
เป็นภาพพจน์ ชนรุ่นหลัง ยังศึกษา
ยังฟูเฟื่อง เรืองกระฉ่อน ทั่วโลกา
ชาวประชา ยกย่อง ชั่วนิรันดร์


""ทุกข์มาเตือน""

........................
เมื่อกายเจ็บ เล็กฉีก โดนมีดบาด
หรือล้มพลาด หน้าคว่ำ คะมำหงาย
หากต้องเจ็บ นิดหนึ่ง ไม่ถึงตาย
จงทำใจ ว่าไม่สุข ทุกข์มาเตือน



" เข้าพรรษา..."
เข้าพรรษาคือเขตสงฆ์     ผู้ดำรงพระวินัย
สามเดือนจะไม่ไป          เที่ยวสรรจรและรอนแรม
เป็นช่วงที่พระจะศึกษ์     ต้องประพฤติมโนแจ่ม
ภาวนาอยู่พักแรม          ณวัดชอบประกอบคุณ
ส่วนโยมน้อมก้มสิระ      ทุกทิวะจะอุดหนุน
กอปรทานศีลเพิ่มพูน    ในใบบุญพระสัมมา
ขอเชิญทุกทุกท่าน      จงเข้ากาลปวารณา
ตั้งใจลดเลิกลา           เสพย์สุราและเมรัย
อีกทั้งสิ่งเสพย์ติด        มลพิษไม่พิศมัย
จงผละมันออกไป        ในพรรษาไตรมาส์เดือน
ทำดีคู้เคียงสงฆ์          ตั้งใจตรงดำรงเหมือน
บวชใจไม่แชเชือน      ความสุขเปื้อน ณ พักตร์งาม
ทำบุญด้วยจิตแจ่ม      อยู่พักแรม ณ เดือนสาม
ตั้งใจพระพฤติตาม      ธรรมวิลาสองอาจเทอญ..


น้ำท่วมกาย ภัยท่วมจิต
.............................................

พิบัติภัย ทั้งหลาย ในโลกนี้
ล้วนแต่มี หายนะ มหาผล
แต่ัภัยที่ ร้ายร้าย ในใจคน
ที่่มีผล ร้ายยิ่งกว่า พุทธว่ามี

สมัคคะ- เภทะภัย ให้รู้เถิด
คือภัยเกิด กับมนุษย์ บุตรพระศรีฯ
นั่นก็คือ ภัยที่แยก แตกสามัคคี
เป็นภัยที่ มหันต์ อันตราย

ไม่ต้องรอ ดินฟ้า และอากาศ
ภัยนี้อาจ ก่อเกิด กำเนิดได้
เมื่อเกิดแล้ว ไม่นาน พลันกระจาย
มันยิ่งร้าย กว่าภัยทั้งผอง ต้องระวัง

มันสามารถ เกิดซ่อนรูป ทุกข์ซ่อนเร้น
ซ่อนภัยเวร ซ่อนระอุ ไม่สุขัง
พร้อมประทุ ไม่เลือกที่ มีพลัง
สร้างเส้นทาง แบ่งพรรค หมักภัยเวร

ภัยเช่นนี้ เกิดได้ ไปทุกที่
ในวารี หรืออากาศ ยากจะเห็น
หรือบนบก บนภูรี มีแต่เวร
ฆ่าจองเข่น ได้ทุกที่ หากมีภัย (นี้)

เกิดกับคน ทุกเพศวัย ใหญ่หรือเล็ก
ยากจะเช็ค ยากจะรู้ ว่าอยู่ไหน
เกิดบาดหมาง ย่างประชิต ขวิดกันไป
นี่คือภัย ที่แตกหัก ไม่รักกัน

สมัคคะ- เภทะภัย สุดใหญ่ยิ่ง
มันจะวิ่ง แพร่กระจาย ไร้สุขสันต์
จากปากหนึ่ง สู่ปากหนึ่ง ซึ่งพูดกัน
มิฉะนั้น ก็บนเน็ต เว็บเข้าชม

ใช้เวลา ไม่นาน ผ่านฉลุย
ไม่ได้คุย เว่อหวือหวา ให้สาสม
ไม่ได้พูด เล่นวาทะ ประคารมณ์
แดงเหลืองข่ม เราก็เห็น เป็นหลายปี

นี่ก็ผล การแยก แตกสามัคคี
กลอนพาที นี้จึงอยาก พิทักษ์ศีล์
ให้ทุกท่าน ตั้งสติ ดำริดี
สามัคคี กันไว้ ชาวไทยเรา

เหล่ามัลละ- กษัตริย์ ในโบราน
ได้พบพาน แตกสามัคคี นี้โศกเศร้า
พุทธองค์ ทรงสอน ป้อนพวกเรา
ทรงให้เอา เป็นแบบอย่าง เส้นทางเดิน

อย่าได้เป็น เช่นมัลละ- เหล่ากษัตริย์
ให้ฝึกหัด ตัดโทสา อย่าเก้อเขิน
น้อมนำเมต- ตาธรรม มาดำเนิน
อย่ามัวเพลิน กับสีต่าง เส้นทางธรรม

จงอภัย ให้กัน จงสรรสร้าง
สร้างเส้นทาง เส้นวิมุติ พิสุทธิ์ล้ำ
ด้วยสติ และัปัญญา พาน้อมนำ
ขอพระธรรม รักษาท่าน ทุึกวันเทอญ


น้ำท่วมไทย ภัยท่วมคน
..................................
โอ้อนาถ อุบัติร้าย ภัยน้ำ่ท่วม
เป็นองค์รวม แห่งความทุกข์ สุดจะหนี
พี่น้องไทย ได้ทุกข์เข็ญ เป็นแรมปี
ด้วยเพราะมี น้ำท่วมใหญ่ ให้ร้าวราน

ขอแต่งกลอน สะท้อนทุกข์ สุดจะกลั้น
เพื่อให้ท่าน ผู้อยู่ไกล ใจประสาน
ได้รับรู้ ความทุกข์ สุดตระกาน
เป็นสื่อผ่าน เว็บไซต์ ให้ได้ยล


น้ำท่วมใหญ่ คราวนี้ มีผลร้าย
ให้คนไทย สิ้นประดา มหาผล
แจกความทุกข์ เผื่อแผ่ แก่ทุกคน
ที่ได้ยล และรับรู้ ถึงอยู่ไกล

น้ำได้ท่วม ไล่ล่า มหาวิบัติ
หลายจังหวัด ชอกช้ำ ทำไฉน
จากภาคเหนือ สู่กลาง สร้างพิษภัย
พี่น้องไทย ให้สะอื้น ฝืนชีวี

บ้างก็จม น้ำตาย ว่ายไม่เป็น
บ้างก็เผ่น หาเรือ เพื่อจะหนี
บ้างก็งง ภัยร้าย ได้ย่ำยี
บ้างก็หนี ไปหลบ ซบหลังคา

เก็บสิ่งของ ลูก,แมวหมา หาที่หลบ
ปีนป่ายซบ ขื่อคาน สุดสรรหา
เหล่าชาวพุทธ บ้างก็หลบ ซบวัดวา
ทั้งน้ำตา หาที่ซ่อน นอนกลางดิน

บางคนทุกข์ ลูกหาย ไปกับน้ำ
บ้างคนช้ำ ของหาย ไปหมดสิ้น
บ้านเรือจม น้ำกลืน เป็นผืนดิน
ไปหมดสิ้น กับสายน้ำ ช้ำอกตน

ทั้งอดข้าว อดน้ำกิน ดิ้นทนสู้
สุดจะกู่ เรียกใคร ให้มาสน
กอดหลานลูก ทั้งน้ำตา เข้าหาตน
ปริ่มกมล หมองไหม้ ทำไงดี

อยู่กับซาก เรือนนิด ที่มิดหาย
บางคนตาย ให้รันทด สุดจะหนี
สู้คนเดียว บนหลังคา กับวารี
บางคนมี หมาเป็นเพื่อน บนเรือนนอน

บางคนตาย ไฟช๊อต จอดกลางบ้าน
บางคนคลาน หนีน้ำ ตามหลอกหลอน
ทุกข์โรมรัน กันทุกบ้าน ไม่ขาดตอน
เป็นอากร บ่อนทุกข์ สุดบรรยาย

ทั้งน้ำเน่า สัตย์ร้าย ได้ต่อยกัด
สารพัด สัพพทุกข์ ไร้สุขใส
ถูกตัดขาด โทรศัพท์ ทั้งดับไฟ
สิ้นเยื่อใย ให้เคว้งคว้าง กลางวาริน

วัด,โรงเรียน ก็โดนท่วม อ่วมอรทัย
ที่พักใจ ชาวพุทธ สุดถวิล
เด็กขาดเีรียน เกษียนจด ซบวาริน
พินาศสิ้น ภัยน้ำ ทำได้ไง


เหล่ารถรา ผู้คน จมน้ำหมด
สุดรันทด สุดย่ำแย่ สุดแก้ไข
ทุกหน่วยเหล่า เข้าดับทุกข์ อุทภัย
ชะโลมใจ ให้ช่วยเหลือ เผื่อแผ่กัน

บางคนแย่ ทำใจ ไม่ได้หมด
ได้ขนด เชือกร้าย หมายอาสัญ
ได้สติ ชีวิตตน ผลอนันต์
เลิกอาสัญ ไม่วินิบาต อาฆาตตน

แต่บางคน ทุกข์ประทับ เกินรับได้
ฆ่าตัวตาย กลางเรือนใหญ่ เพื่อได้พ้น
กับภัยน้ำ ที่คลืบคลาน เ่ล่นงานตน
ทิ้งสกล กายนิ่งแน่ แช่วารี

บริษัท ห้างร้าน ขาดทุนยับ
สุดจะนับ ความเสียหาย ในครั้งนี้
ทุกข์ท่วมไทย ภัยท่วมคน อย่างป่นปี้
ทุกข์ทวี ตีวงกว้าง กลางวาริน

นครสวรรค์ สิงห์บุรี อุยุธยา
เป็นบาดาล์ เมืองนาค น้ำหลากสิ้น
เขมือบหมด บริเวณ เป็นวาริน
บุกเข้าถิ่น เมืองหลวงไทย ในปัจจุบัน

ชาวกรุงเทพฯ ต้องสยอง น้ำนองหลาก
สุดอนาถ น้ำเหนือหนุน ซุ่มห้ำหั่น
ได้ตีโอบ ปริมณฑล ได้ยลกัน
จ้าละหวั่น แก้ทุกข์ใหญ่ ภัยน้ำนอง



นับเป็นทุกข์ ท่วมท้น เกินพิกัด
ภัยภิบัติ มุ่งร้าย สุดป่ายป้อง
รัฐบาล พร้อมทหาร นั้นประคอง
ได้ปกป้อง สู้อุทก อย่างอกตรม

หลายหน่วยงาน ร่วมหัตถ์ สะกัดกั้น
ได้ร่วมกัน ดับทุกข์ภัย ให้สุขสม
ก่อกำแพง ด้วยถุงทราย ได้ระดม
เพื่อสู้ข่ม กับน้ำ ที่ย่ำกราย

ระดมน้ำ อาหาร ด้านสิ่งของ
ช่วยพี่น้อง ที่ลำบาก ขาดรายได้
ทุกข์จังหวัด ที่ได้รับ อุบัติภัย
เป็นน้ำใจ กับสายน้ำ ทำได้ดี

ขอแสดง ความใน ภัยน้ำท่วม
เป็นองค์รวม ความห่วงใย ในครั้งนี้
ขอจงสู้ ด้วยสตินำ ทำแต่ดี
อย่าได้มี ความรนราน ผ่านพ้นภัย

ขอสาธุ มุทิตา ผู้มาช่วย
ที่อำนวย ช่วยโอบอ้า มาแก้ไข
ได้สละ สิ่งของ พ้องปัจจัย
พี่น้องไทย ได้สุขสันต์ นิรันดร์เทอญ


" หมาสวดมนต์..."
ได้ข่าวว่า มีหมา สองขาเจ้า 
นั่งคุกเข่า พนมท่า น่าฉงน 
อยู่ข้างข้าง เจ้าของ ท่องสวดมนต์ 
ทำเสียจน คนสงสัย แห่ไปดู
เจ้าสุนัข ตัวนี้ มีชื่อว่า 
เจ้าโคนัน พันธุ์ชิวาวา สง่าหรู 
ส่วนอายุ ปีครึ่ง ทึ่งน่าดู 
นั่งเทียมครู ที่เป็นพระ ประนมมือ
ชั่งเป็นภาพ ที่แปลก แทรกน่ารัก 
เห็นแล้วพักตร์ ยิ้มร่า น่านับถือ 
ทำเอาจน คนไป ได้ฮาฮือ 
ต่างปรบมือ เสียงระงม พร้อมชมมัน
ในสภาพ สังคมคน สับสนนี้ 
แต่กลับมี เจ้าหมา พาสุขสันต์ 
ในสังคม อลเวง ไม่เว้นวัน 
แต่หมามัน กลับสวดมนต์ พิกลจริง
ด้วยเหตุผล กลใด ทำให้เจ้า 
จึงได้คิด คุกเข่า เจ้าสุดหนิง 
หรือว่าเจ้า ถูกมัดกาย ไม่ไหวติง 
แล้วจับเจ้า ให้นิ่งนิ่ง ไม่จริงใจ
แต่ในภาพ นั้นหนา สง่านัก 
เจ้าคงรัก เพราะแววตา สง่าใส 
ดูอากัปฯ กลับทำสวย ด้วยเต็มใจ 
หาสงสัย ใดเหลือ เมื่อได้ชม
หรือว่าเจ้า แค่ทำ ตามเจ้าของ 
ทำแค่ล้น คนมอง ปองขนม 
หรือว่าทำ เพราะวาสนา มานานนม 
ที่เพาะบ่ม แต่ชาติก่อน ได้ย้อนมา
แต่อย่างไร ก็เป็นภาพ ปลาบปลื้มล้น 
ที่ทุกคน อ่านหนังสือพิมพ์ ต้องยิ้มร่า 
จริงไม่จริง ใช้สติ พิจารณา 
อย่าหาว่า พระพิเลน แต่งเป็นกลอน
ในธรรมบท เคยบอกว่า หมาแสนรู้ 
ที่ได้อยู่ กับเจ้าของ พร้อมคำสอน 
ได้วิ่งไป นิมนต์พระ มาแรมรอน 
คาบที่ชาย จีวร ตอนพระมา
พร้อมกับได้ ใช้เสียงเห่า เข้าประชิด 
ทำด้วยจิต ที่เลื่อมใส ฝักใฝ่หา 
พอมันตาย ก็ได้เกิด เป็นเทวดา 
ด้วยอานิสงส์ บุญญา ที่หมาทำ
นี่เป็นหมา ในธรรมบท พจนะ 
เป็นหมาพระ นำมา ถึงน่าขำ 
แต่เป็นเรื่อง สัจจริง อิงพระธรรม 
เป็นหลักฐาน มาค้ำ ลำนำกลอน
หากจะเอา สาระนี้ ที่จากข่าว 
คงเตือนเรา ได้สติ มีคำสอน 
ขนาดหมา ยังขนาดนี้ มีอาทร 
ได้ทำเด่น อุทาหรณ์ สอนสังคม
ขออภัย หากใคร ไม่ชอบหมา 
เพราะหาใช่ เจตนานำ ทำไม่สม 
ดีไม่ดี ให้พินิจ อย่าจิตตรม 
มองให้คม แล้วจะเห็น ความเป็นจริง 

" คอมฯ/คน..."
คอมฯ- มีข้อมูล เป็นโภชนะ
คน- มีธรรมะ เป็นแก่นสาร
คอมฯ- ขาดไฟ ไร้ทนทาน
คน- ขาดแก่นสาร พาลให้ตรม
คอมฯ - ขาดไฟ ไร้ชีวิต
คน- มีจิต คิดสั่งสม
คอมฯ - เป็นเครื่องมือ สื่อสังคม
คน- จะตรม ขาดเครื่องมือ นั้นคือ"ธรรม" 

" โลกธรรม ๘ ..."
โลกธรรม สองส่วน ล้วนให้คิด 
ส่วนใดจิต ชอบใจ อย่าไหลหลง 
ส่วนใดล้ม ไม่สมจิต ต้องคิดปลง 
อย่างวยงง จงให้ ใช้ปัญญา
จะมียศ เสื่อมยศ โปรดทราบเถิด 
จะลาภเกิด หรือเสื่อมลาภ ทราบเถิดหนา 
นั่นเป็นเพียง อนิจจัง ระวังนา 
มันสับเปลี่ยน เวียนมา ปัญญาดู
จะสุขทุกข์ นินทา สรรเสริญ 
อย่ามัวเพลิน รันทด หรืออดสู 
เราเป็นเพียง พิชิต พินิจดู 
หากเรารู้ เท่าทัน พลันสบาย
ไม่มีเรา มีเขา จะเบากว่า 
คิดเพียงว่า ต้องล้ม ไม่สมหมาย 
ทุกอย่างเกิด ก็ด้วยเคล็ด เหตุปัจจัย 
มันมาได้ ไปได้ ไม่แปลกเลย
จงรักษา ดวงใจ ให้ใสผ่อง 
อย่าขัดข้อง ภายใน ให้วางเฉย 
หากดีใจ ก็อย่าฟู อยู่เสบย.

" จิ๊กซอ..."
อันจิ๊กซอ ที่ว่ารก ที่ตกหล่น
เอามาชน ต่อเป็นภาพ ไม่สับสน
คนเรามี จิ๊กซอดี รีเรียวมน
ขอทุกคน เก็บความดี มาเรียงราย

เก็บอภัย มาเตรียม เชื่อมดวงจิต
ไมตรีมิตร จิตเกื้อกูล คุณสหาย
เพราะไม่งั้น อาสัญญะ มากร้ำกราย
ก่อนจะตาย คงตาหลือก เลือกใครดี
 วันมาฆบูชา"

พระจันทร์ วันเพ็ญ มาฆะ 
วันพระ สิบห้า ดิถี 
เดือนสาม บำเพ็ญ ความดี 
พระศรีฯ โอวาท สัจจ์ธรรม
แด่พระ อรหันต์ เอหิฯ 
มุตติ พ้นตาม พระสัมม์ 
หนึ่งพัน สองร้อย ห้าสิบนำ 
ทรงพร่ำ โอวาท ปาฏิโมกข์ 

ทรงห้าม ทำบาป ทั้งปวง 
ตัดห่วง บ่วงรัก วิโยค 
เจริญ กุศล ทรงโปรด 
ละโศก เศร้าหมอง แห่งจิต

ทรงตรัส อย่างงาม คาถา 
สามครา อาภรณ์ วิจิตร 
ทรงมุ่ง สั่งสอน บรรพชิต 
ตั้งจิต อดทน ข่มใจ
ทรงห้าม ทำร้าย ผู้อื่น 
ซื่นมื่น ในจิต ผ่องใส 
จงอย่า ข่มเหง ใครใคร 
วิเหฐัย หาใช่ สมณะ
อย่ากล่าว ว่าร้าย ผู้อื่น 
สดชื่น ให้สม เป็นพระ 
อย่าเที่ยว รังแก ใครดะ 
สังวะวะ สำรวม อินทรีย์
ปาฏิ- โมกขะ- สังวรศีล 
คือถิ่น พักใจ สุขี 
สำรวม อาหาร สถานที่ 
เอกี จิตเอก สงัด
นี่คือ ตำสอน พุทธะ 
วาทะ หลายองค์ ทรงตรัส 
ผิดถูก พระองค์ ชี้ชัด 
ธัมมะ รัตน์ไตร กวี


ทรงปู พื้นฐาน ธรรมะ 
ท่ามกลาง จันทะ ฉาดสี 
อร่าม งามธรรม จารี 
จาตุ- รงคี ดิถีเพ็ญ

ทรงฝาก พระธรรม คำสอน 
แก่หมู่ นิกร ทุกข์เข็ญ 
ให้หมั่น พากัน บำเพ็ญ 
ดับเวร สิ้นทุกข์ สุขนิรันดร์

" กัมมัฏฐาน ๒"

กรรมฐาน งานของใจ อยากให้รู้ 
เพราะมีอยู่ สองอย่าง ทางผ่องใส 
เป็นการฝึก- ฝนดู รู้ภายใน 
ให้พ้นทุก- ขภัย ใจชุ่มเย็น
อย่างที่หนึ่ง สมถ- กัมมัฏฐาน 
ที่เป็นงาน ดับภัย หายทุกข์เข็ญ 
มุ่งฝึกใจ ให้จดจ่อ บริเวณ 
ทำให้เป็น เอกจิต พินิจดู
อย่างที่สอง วิปัสสนา กัมมัฏฐาน 
ที่เป็นงาน ฝึกใจ มุ่งให้รู้ 
มองอารมณ์ จากสารทิศ พินิจดู 
ที่มาสู่ ภายใน ให้รู้ตาม
กำหนดปล่อย คอยดู อยู่ปัจจุบัน 
ที่แปรผัน ไม่เคยพัก ลักษณะสาม 
ที่แปรเปลี่ยน หมุนเวียนคล้อย คอยดูตาม 
มองให้เห็น ไม่งาม ตามเป็นจริง
สติดู รู้เท่าทัน ปัจจุบันเหตุ 
ตัดกิเลส ด้วยปัญญา พาสุดหนิง 
มีวิริยะ พากเพียร จำเนียรจริง 
สมาธิ แนบนิ่ง ไม่อิงใคร
อดีตละ อนาคต จงหยุดอยู่ 
วางใจดู แต่ปัจจุบัน ทันสมัย 
มองให้เห็น ลักษณะสาม ตามปัจจัย 
กาย,เวทนา จิต,ธรรมใน ให้รู้ตาม

........................................................ 
กัมมัฏฐาน อยากจะบอก ฟอกดวงจิต 
ไม่วิปริต มีแต่ผ่อง ไม่หมองศรี 
ดับทุกข์โศก โรคภัย ในโลกี 
ช่วยขัดสี จิตที่หมอง ให้ลองดู
แล้วจะเห็น ความจริง ที่ยิ่งยวด 
ไม่ได้อวด วาทธรรม พร่ำหรูหรู 
เปรียบทะเล ที่สวยเด่น เห็นปลาปู 
จิตสะอาด แจ่มใสรู้ ทุกอณูธรรม 

" พุทธประวัติ"

จากชีวิต กษัตริย์ ต้องพรัดพราก
เสด็จจาก นครา สู่ป่าเขา
ด้วยทรงเห็น อนิจจัง สังขารเรา
มองเห็นเงา ความไม่สุข ทุกข์มาเตือน
ทรงสละ สมบัติ สลัดทิ้ง
มุ่งหาสิ่ง ที่ผ่องใส หาใครเหมือน
ทรงขี่ม้า กัณฑกะ ฉันนะเพื่อน
ทรงคล้อยเคลื่อน ราชสถาน ยามราตรี
ทรงทดลอง พระวรกาย จนผ่ายผอม
ทรงไม่ยอม เสวยภัตต์ หัดวสี
ทรงบำเพ็ญ ทุกกะระ มาแรมปี
แต่ไม่มี แววพ้นทุกข์ เป็นสุขจริง
ทรงหันกลับ ฉันอาหาร ผ่านพระศอ
พระองค์พอ เสวยภัตต์ จากผู้หญิง
มัชฌิมา ปฏิบัติ ทางลัดจริง
ทรงดำดิ่ง วิธีใหม่ พระทัยตรง
ทรงปฏิบัติ มัชฌิมา ทางสายเอก
วัฏฏาเพศ กิเลสคลาย ไม่ไหลหลง
ทรงเห็นหลัก ความจริง สิ่งให้งง
ทรงมุ่งตรง เอกจิต สู่นิพพาน
ทรงสั่งสอน นิกรชน คนไร้สุข
ทรงชี้ทุกข์ ชี้ภัย ในสงสาร
อย่าตกอยู่ ในเขต กิเลสมาร
ทรงสอนผ่าน การเวลา ห้าพันปี 

"คมสัน/คมบาง"
.อันคมสัน นั้นหรือ คือมีดใหญ่
ตัดสมใจ ไม้แข็ง แรงทับถม
อันคมบาง คือมีดน้อย คอยรับคม
ไว้คอยข่ม เฉือนกรีด มีดเฉพาะทาง

เปรียบเหมือนเช่น ธรรมะ พุทธเจ้า
บางทีเอา กันดื้อดื้อ ไม่ถือหาง
ต้องกดข่ม ประกบชิต กิเลสคราง
ทำกิเลส คมสันบาง ต่างรีบจร



" ภิกษุผู้สำรวมอินทรีย์ "
ขอนำท่าน สู่ป่าใหญ่ แดนไพรสณฑ์ 
หนึจากคน นังนุง ดูยุ่งเหยิง 
จาริกธรรม ในป่า พาดำเกิง 
หนึจากเพลิง กระแสโลก วิโยคภัย
ณ ดินแดน ป่าใหญ่ ที่ไกลโพ้น 
ยุคที่คน แสวงหา ธรรมาไสว 
ยุคที่ทุกข์ บีบคั้น บั่นจิตใจ 
ลัทธิน้อย ลัทธิใหญ่ ให้วกวน
มีภิกษุ สมณะ ปัญญาลึก 
มุ่งรู้สึก กำหนดใจ ในไพรสณฑ์ 
สมถะ เป็นฐาน ผ่านกมล 
พร้อมกับปน วิปัสสนา สง่างาม
กำหนดจิต แน่วแน่ ไม่แปรผัน 
รู้ตามธรรม์ เอกจิต พิชิตหนาม 
รู้ลึกซึ้ง อย่างยลแยบ แยกรูปนาม 
ยกสังขาร สู่ไตรลักษณ์ ไม่พักเลย
ท่านดื่มด่ำ ไม่คร้าน งานกำหนด 
ได้ปรากฏ ดวงปัญญา ได้มาเผย 
รู้แจ้งธรรม นิรทุกข์ สุขจังเลย 
ท่านไม่เคย อยากรู้ อยู่แต่ปัจจุบัน
วันเวลา ผ่านไป ท่านไม่รู้ 
ท่านนั้นอยู่ ในคูหา พาสุขสันต์ 
ไม่เคยแหงน มองไหน ในไพรวัลย์ 
ท่านรู้ทัน แต่กายจิต สติดู
สาตัจจะ ธรรมงาม ตามประชิด 
ดูในจิต ติดตาม ธรรมสุดหรู 
กาย,เวทนา ธรรม,จิต พินิจดู 
ไม่อยากรู้ ไม่ปรุงแต่ง แปลงสัญญา
อยู่ในถ้ำ ไม่รู้ ว่าอยู่ถ้ำ 
สติล้ำ กายจิตดู รู้สังขาร์ 
ดอกแคฝอย จากต้น ร่วงหล่นมา 
จึงรู้ว่า เวลานี้ ถีงปีกาล
ลายบนถ้ำ วิจิตร ด้วยศิลป์ศาสตร์ 
ท่านไม่อาจ รู้ได้ ไม่ผสาน 
ไม่เคยเงย หน้ามอง ส่องเพดาน 
มุ่งแต่งาน ทางจิต ติดตามไป
เมื่อไม่เคย เอาจิตออก จากกำหนด 
ใจเลยจด อารมณ์เดียว ไม่เที่ยวไหน 
ถึงเมื่อยาม สิ่งร่วงซบ กระทบกาย 
จึงรู้ได้ ว่ามีตน (และ)สิ่งหล่นมา
เป็นนิทาน ธรรมบท ธรรมพจน์ศาสด์ 
มีโอกาส เลยแต่งให้ ได้ศึกษา 
เพื่อเสื่อธรรม บรรยากาศ วิปัสสนา 
จากพระป่า วนาสณฑ์ อยู่บนดอย
....................

บางขณะ ที่จิต อารมณ์เดียว 
ไม่ได้เที่ยว ก็สงบ พบสุขา 
ตัดอารมณ์ ขาจร ที่ย้อนมา 
เจตนา หาใช่ ไม่ใยดี
สมถะ ญาณิก จิตสงบ 
วิปัสสนา พาประสบ พบสุขี 
ทั้งสงบ ทั้งรู้ อยู่เอกี 
บางวันดี บางวันร้าย ให้ได้ลอง
บางวันพบ กำหนดได้ ใจผ่องแผ้ว 
บางวันแคล้ว นิวรณ์มา พาเศร้าหมอง 
นี่เป็นทาง ปรมัตถ์ ต้องหัดลอง 
อย่าไปข้อง ปริยัติ ไม่พัดพา
ในสมัย พุทธกาล นั้นมีเยอะ 
เคยเปิดเจอะ มีพระ สะมะถา 
นั่งเข้าฌาน มีไฟ ไหม้เข้ามา 
ไม่รู้ว่า โดนไฟไหม้ หาใยดี
มีหลายเรื่อง ที่พี่น้อง ต้องศึกษา 
อย่าจินตนา ว่าต้องเห็น เป็นเช่นนี้ 
ปฏิบัติ ลุ่มลึก ศึกษาที 
เอากายี เป็นอุปกรณ์ บ่อนเกิดธรรม
ต้องปฏิบัติ อย่างเข้มข้น ปนอุกกฤษ์ 
สิ่งที่คิด อาจจะเห็น เป็นเรื่องขำ 
อาจจะเจอ สิ่งแปลกใหม่ ให้ได้ทำ 
พบพระธรรม ต้องทำเอง อย่าเกรงใจ
ปริยัติ คือแปลน เป็นแผนที่ 
ปฏิบัติ ก็มี สิ่งแปลกใหม่ 
แต่เมื่อเดิน ระยะทาง ที่ห่างไกล 
มีหลายนัย ที่อ้างว้าง บนทางเดิน
มีวิปัสสนู- ปกิเลส เป็นเหตุผลาญ 
กว่าได้ญาณ ก็ล้มลุก เกิดฉุกเฉิน 
มีสิ่งเร้า สิ่งยั่ว ให้มัวเพลิน 
ต้องเผชิญ กับกิเลสร้าย อยู่หลายตัว
อินทรีย์ห้า ต้องแกร่ง ด้วยแรงสู้ 
กับศรัตรู กรูกระหน่ำ ทำให้มั่ว 
ทั้งปีติ ทั้งเบื่อหน่าย มาพายพัว 
มีทั้งกลัว ทั้งวูบวาบ ปลาบพัลวัน
ต้องคอยปรับ อินทรีย์ใส ให้ได้ที่ 
สัทธามี เกินไป ไม่สุขสันต์ 
ปัญญาพ้อง ต้องตามติด ประชิดกัน 
สมาธิ วิริยะนั้น คู่กันไป
ส่วนสติ ไม่มีคู่ อยู่เป็นเอก 
มีเอนก หลายด้าน งานน้อยใหญ่ 
ดูในกาย เวทนา จิต,ธรรมใน 
สติเป็นใหญ่ ในปฏิบัติ จะชัดคม
...........................................
ขอขอบคุณ ชาวพุทธ ที่ผุดผ่อง 
มีธรรมทอง ภูมิปัญญา มาผสม 
หลายมุมมอง ก็แกล้วกล้า สง่าคม 
มาพร่างพรม วจีอาจ วิปัสสนา
เป็นกระแส ดีดี ที่ได้รู้ 
ว่ามีผู้ สนใจ ใคร่ศึกษา 
สะท้อนธรรม ที่หรู สุ่วิปัสสนา 
เป็นมรรคา ที่ไม่ท้อ รอให้เดิน
  
หมายเหตุ ประพันธ์ในเว็บธรรมไทย


"ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรม"
ขอเชิญร่วม ทำบุญ ออกพรรษา
วิปัสสนา แคมปิ้ง สิ่งฝึกฝน
รีไซเคิล อบรมจิต อุทิศตน
สุขกมล ฝนนิสสัย ปัจจัยตาม
วิปัสสะ- นูปะนิสสัย กายใจฟอก
จิตไม่หลอก ด้วยอุปกิเลส วิเวกสาม
กายวิเวก สงัดกาย ไร้คุกคาม
จิตสวยงาม ยามสงบ พบพระธรรม
อุปธิ- วิเวก เลศน์จางหาย
อยู่ด้วยกาย เวทนา,ใจ ไร้ขวากหนาม
สติหนึ่ง ไม่พรึงพรั่น ปัญญาตาม
เลิศทุกยาม ที่ใจจด กำหนดทัน
สร้างศีลู- ปะนิสสัย ใจผ่องแผ้ว
ตรงตามแนว พระสุคต สดสุขสันต์
พร้อมภาวนู- ปะนิสสัย ให้หมอกควัน
สโมธาน พรั่งพร้อมสุข ไร้ทุกข์เยือน
สร้างนิสสัย ฟังธรรม นำปัญญา
ได้ธัมมัส- สะวะนา หาใครเหมือน
อานิสงส์ จะจะ พระมาเตือน
อย่าแชเชือน จงสั่งสม อบรมตน
อีกทั้งสร้าง ทานู - ปะนิสสัย
ทำกายใจ ใส่สง่า มหาผล
ด้วยสองมือ อันแข็งแกร่ง แรงของตน
ดีกว่าด้น หาคนช่วย จะป่วยการ

ขอเชิญชวน ฝึกนิสสัย ที่ได้บอก
เป็นการฝอก จิตใจ ใสตระหง่าน
สร้างชะตา ชีวิต จิตชื่นบาน
เป็นกำนัล รางวัลเลิศ ประเสริฐเอย......
.....................................

(แต่งในคราวที่วัดบุศย์ฯจัดโครงการปฏิบัติธรรม ระหว่างวันที่ ๑๖,๑๗.๑๘ ตุลาคม ๕๒)
บันทึกรักจากแม่

จากหัวไร่ ปลายนา ท้องฟ้าใส
รวงข้าวไกว ลมโบก วิหคผิน
จากกลิ่นโคลน สาบควาย กลิ่นไอดิน
ยังถวิล ถึงลูกอยู่ ไม่รู้คลาย
จับดินสอ ทออักษร กลอนระลึก
พร้อมน้อมนึก ถึงลูกพระ คราห่างหาย
ได้เป็นทูต ธรรมะ ทูตะไทย
ผละจากไป ใจหดหู่ อยู่อเมริกา
วันที่ลูก จากไป ใจเหี่ยวห่อ
น้ำตาคลอ กระอัก เป็นหนักหนา
โถลูกเรา เฝ้าดูแล แต่ก่อนมา
ต้องจากลา ไปไกล ใจอาวรณ์
วันลูกจาก วันนั้น ขวัญสลาย
คิดห่วงใย ใจทรุด สุดทอดถอน
ใจคว้างเคว้ง เหว่หว้า สุดอาทร
ได้อวยพร ทั้งน้ำตา คราลูกไป
จากวันนั้น ถึงวันนี้ หลายปีดัก
โอ้ลูกรัก ยังอยู่เย็น เป็นไฉน
การประกาศ ศาสนา เป็นอย่างไร
อยู่รัฐไหน แล้วหนอลูก แม่ทุกข์ทน
ตอนมาใหม่ พอได้ข่าว ของลูกบ้าง
ตอนนี้ห่าง ข่าวหาย มาหลายฝน
หรือว่าลูก ของแม่ แย่กมล
ทุกข์ท่วมท้น ไร้ผู้ คอยดูแล
หรือว่าลูก ทำผิดกฏ พุทธศาสน์
จึงประกาศ ผู้ทำผิด ติดร่างแห
หรือว่าทุกข์ ไร้เยื่อใย ใครดูแล
ลูกของแม่ จึงเงียบไป ไม่กลับมา

พระธรรมทูตไทย

วาสนา พาไป จากไทยเขต
สู่ประเทศ อเมริกา มหาอำนาจ
จุดหมุ่งหมาย เพื่อตั้งใจ ไปประกาศ
พุทโธวาท ธรรมาทร สอนเวไนย์
เก่าที่ไทย ใหม่ที่นั่น ฝันที่สร้าง
ต่างเดินทาง, ไปให้สุด, จุดมุ่งหมาย,
ธรรมทูต, ที่อบอุ่น, อยู่ในไทย, 
ต่างต้องไป, เรียนรู้, อยู่ต่างแดน,
แล้วแต่บุญ , วาสนา, มาสรรสร้าง, 
เพราะมีบาง, รูปนั้น รันทดแสน, 
เพราะเมกา, หาได้เป็น, เช่นเมืองแมน,
เพราะบางวัด , ก็แร้นแค้น , แสนอาดูร,
แต่บางรูป, สบาย, ได้วัดดี,
มีวิถี, ชีวิต, ที่อบอุ่น, 
มีน้ำใจ, ไม่เหว่หว้า, มาเกื้อกูล, 
ถือเป็นบุญ- นิธิ ที่ติดตัว,
แต่บางรูป , แร้นแค้น, แสนรัดทด, 
ไอเดียหด, ทุกข์โรมรัน , ฝันสลัว,
แต่ส่วนใหญ่, ก็สบาย ไม่หมองมัว
ได้ตั้งตัว เป็นนักเทศน์ เวกขธรรม
ได้ประกาศ สัจธรรม ตามแนวพุทธ
หลักวิมุติ ที่เรืองรอง ของพระสัมม์
หาช่องทาง ที่วิลาศ ประกาศธรรม
ให้ได้ตาม พระองค์สั่ง ต่างไม่ลืม

หลวงตาที่ข้ารู้จัก
วันที่เก้า ธันวา ปีห้าหนึ่ง
เป็นวันซึ่ง มาประชุม วิสมัย
อาจารย์ถนัด เลขา โทรมาไกล
บอกให้ไป ร่วมประชุม กลุ่มศิษยา
มาประชุม คราวนั้น ฉันจำได้
มาร่วมไหว้ ทำวัตร ทัศนศึกษา
มารับรู้ จริยวัตร ของหลวงตา
ยังโหยหา จำได้ ไม่ลืมเลือน
จริยาวัตร หลวงตา สง่าล้น
จะหาคน ใดฤา หรือจะเหมือน
สอนด้วยย้ำ ทำให้คิด สะกิดเตือน
ไม่แชเชือน จริยาวัตร ปฏิบัติตน
หลวงตาตื่น แต่เช้าตรู่ อยู่เป็นนิจ
ภารกิจ ไม่ทิ้ง สิ่งฝึกฝน
ลงทำวัตร เป็นแบบอย่าง ทางสร้างคน 
ปลื้มกมล เมื่อได้เห็น ชัดเจนใจ
ถึงหลวงตา แปดสิบกว่า เวลาทำวัตร
ท่านสอนหัด แผดเสียง สำเนียงใส
พร้อมสำทับ สอนศิษย์ สนิทใจ
บอกสวดให้ เสียงดังดัง ฟังชัดเจน
ต้องสวดดัง ฟังชัด หัดแต่ต้น
อย่าเป็นคน เสียงอู้อี้ อย่างที่เห็น
เป็นพระหนุ่ม เสียงต้องใส ให้บำเพ็ญ
หลวงตาเข็น พร่ำสอน ตอนที่มา
หลวงตาถือ วินัยเคร่ง เป็นแบบอย่าง
เป็นแนวทาง ให้ลูกศิษย์ คิดศึกษา
มีวันหนึ่ง หลวงตาชี โรคบีฑา
แต่หลวงตา ไม่ย่อท้อ ขอสู้ตาย
ท่านบ่นว่า เสียวที่หัว ตัวก็ร้อน
ท่านยังสอน ด้วยกระทำ นำขวนขวาย
ท่านไม่ยอม ใส่หมวกหัว ถึงตัวตาย
เคร่งวินัย ใจเดี่ยวเด็ด ดุจเพชรงาม
ถึงอายุ แปดสิบสี่ ริบรี่แสง
เริ่มหมดแรง ตามวัย ดุจใกล้หนาม
แต่หลวงตา กัดฟันสู้ อยู่ทุกยาม
คุกเข่างาม ยามทำวัตร ปฏิบัติตน
สิบห้าค่ำ วันนั้น ฉันปลาบปลื้ม
ไม่เคยลืม ตื้นตัน มันเอ่อล้น
โอ้หลวงตา ชั่งระกำ ทำเกินคน
ท่านได้ป่น ปั่นปาฏิโมกข์ วิโยคฟัง
ทั้งละอาย ทั้งงงงัน กัดฟันนิ่ง
มันเป็นสิ่ง ให้สะท้อน ย้อนความหลัง
อนิจจา ข้ายังหนุ่ม สุมกำลัง
กลับมานั่ง ฟังหลวงตา จะบ้าตาย
นั่งฟังไป คิดไป ใจสลด
ยากกำหนด ทางใจ ไร้จุดหมาย
พลันน้ำตา คนใจเสาะ เพราะละอาย
มันเริ่มไหล ใจปลื้ม ชื่นกมล
เป็นคุณค่า ที่ยิ่งใหญ่ ได้มาพบ
ต้องนอบนบ การเรียน เพียรฝึกฝน
ของหลวงตา ผู้ยิ่งใจ ล้นใจคน
ที่ได้ป่น ปั่นปาฏิโมกข์ ถกวินัย
เป็นเนติ แบบอย่าง สร้างให้คิด
แก่ลูกศิษย์ ที่ประสบ พบเห็นได้
ช่างงามชัด วัตรหลวงตา พาวิไล
ประทับใจ อยู่หลายสิ่ง มิ่งมงคล

หลวงตาเก่ง ทั้งศิลป์ศาสตร์ ประกาศชัด
ทั้งเป็นนัก ประพันธ์ ท่านฝึกฝน
เป็นนักเทศน์ นักปาฐก กถึกชน
ครองใจคน ถึงยุค ปัจจุบัน

ท่านเป็นที่ ปรึกษา สมัชชาสงฆ์
ท่านถือธง กาสาวะ พระอรหันต์
อย่างงามงด สุดเปี่ยม เยี่ยมอนันต์
ท่านเป็นขวัญ กำลังใจ ไทยต่างแดน

เป็นศูนย์รวม แห่งจิตใจ ในวิเทศ
อันเป็นเขต ประกาศธรรม งามเหลือแสน
เป็นร่มโพธิ์ พระธรรมทูต ชุดต่างแดน
ท่านเป็นแกน เป็นเสาหลัก พิทักษ์ธรรม

ชีวานัน- ทภิกษุ ผู้ยอดเยี่ยม
ผู้เต็มเปี่ยม ความสามารถ หลากฉนำ
มีผลงาน หลายอย่าง ที่ท่านทำ
สุดจะพร่ำ จำนรรจ์ พรรณนา

ขอสดุดี ผลงาน ในวันเกิด
เป็นการเปิด แสงทอง ส่องฟากฟ้า
เปิดกรุงาน เคลือบทอง ของหลวงตา
ให้ประชา รับรู้ ปูชนีย์ฯ



การประชุม อบรม คอมพิวเตอร์
ได้มาเจอ หลวงตา พาสุขี
ถึงไม่อยู่ ใกล้ชิด จิตพัดวี
แต่ยังมี โอกาสใกล้ ได้ดูแล

ได้มาฟัง หลวงตาสวด ปาฏิโมกข์
ได้สาธก เทคนิคคอมฯ นำเผยแผ่
ได้มาฉัน ร่วมหลวงตาชี ดีนักแล
ได้เบาะแส ข้อมูล ทุนแต่งกลอน

หลวงตาได้ ให้โอวาท คอมพิวเตอร์
ว่าพวกเธอ ที่มา หน้าสลอน
ต้องใช้คอมฯ ไร้โทษทัณฑ์ กันทุกตอน
ต้องอาทร พระวินัย ให้จงดี

เป็นโอวาท ที่ทันสมัย ให้ข้อคิด
แก่เพื่อนมิตร ธรรมทูต บุตรพระศรีฯ
ให้เผยแผ่ พระธรรม นำทางดี
อย่าได้มี ความเสื่อม เรื่องของคอมฯ
(แต่งถวายหลวงตาชี เมื่อครั้งที่ท่านมีอายุครบ ๘๔ ปี พ.ศ. ๒๕๕๒)



ประวัติหลวงตาชี (ชีวานนฺทปฺปวตฺติ)
............

วันที่เก้า มิถุนา ท้องฟ้าใส
ณ เมืองใหญ่ นครพนม คนข่าวขาน
เมืองกำเนิด รัตตัญญู ผู้รู้นาน
บ้านโพนงาม ถิ่นอุบัติ พระพัฒนา
สี่หกแปด แรมสี่ค่ำ ปีนำเกิด
สุดประเสริฐ ปีฉลู คู่ทิศา
ชื่อสมศักดิ์ ธรรมรัตน์ อุบัติมา
ร่วมฆรา กับพี่น้อง พ้องเก้าคน
สิบสองปี สี่แปดศูนย์ ทุ่มใฝ่หา
เข้าศึกษา เกษียน เพียรฝึกฝน
ณโรงเรียน บ้านโพนงาม นามมงคล
เรียนจวบจน จบปอสอง ต้องอำลา
ปีแปดสอง จำต้องออก จากโรงเรียน
ดึงบังเหียน ชีวิต คิดศึกษา
ตัดสินใจ สละเพศ บรรพชา
สามพฤษภา ขานนาคสวด เข้าบวชเณร
หลังจากบวช บรรพชา เข้ามาได้
ก็ตั้งใจ เร่งปฏิบัติ ตัดทุกข์เข็ญ
ภาษาธรรม ภาษาขอม ยอมบำเพ็ญ
ต้องเข้าเวร ต่อหนังสือ คือบทเรียน
ปากต่อปาก คือบทเรียน เกษียนเปล่า
ต้องจำเอา กันต่อหน้า อย่าให้เพี้ยน
ทั้งสวดมนต์ ทั้งปาฏิโมกข์ โขลกพากเพียร
เนิ่นจำเนียร เรียนจนจบ ได้ครบครัน
ทั้งบทสวด ทั้งปาฏิโมข์ โขลกจนจบ
เหมือนได้พบ ปริญญา พาสุขสันต์
ปาฏิโมกข์ โขลกสำเร็จ สิบเจ็ดวัน
ดังสนั่น เสียงสาธุ มุทิตา
สี่แปดหก ตกลงจาก พรากโพนงาม
เดินไปตาม ดวงใจ ที่ใฝ่หา
ใคร่เรียนรู้ ธัมโมวาท พระศาสนา
จึงอำลา บ้านโพนงาม ยามมงคล
วัดโพธิ์แก้ว อารามดี ที่มุ่งหวัง
เพราะเป็นรัง การศึกษา ที่น่าสน
จึงฝากจิต ชีวิตเณร บำเพ็ญตน
เริ่มฝึกฝน เรียนนักธรรม เพื่อนำทาง
สามเณร สมศักดิ์ ธรรมรัตน์
เร่งฝึกหัด เอาจริง สิ่งที่หวัง
วัดโพธิ์แก้ว เฉกเช่นทุน ขุมพลัง
สร้างเส้นทาง เณรเกร่ง จุดแสงเทียน
เป็นก้าวแรก การศึกษา สิกขาบท
ช่างงามงด พจน์ศาสน์ ฝึกหัดเขียน
ทั้งท่องจำ นำปฏิบัติ หัดพากเพียร
เนิ่นจำเนียร เรียนจนจบ อย่างครบครัน
เณรดีใจ ได้ธรรมตรี ที่โพธิ์แก้ว
เริ่มเห็นแวว เส้นทาง ที่สร้างฝัน
เห็นผลิตผล อันเรืองรอง ของคืนวัน
ให้กำนัล มหาศาล ที่ผ่านมา
จบธรรมตรี ที่โพธิ์แก้ว แล้วสิหนอ
เณรสานต่อ ตามแปลน แผนศึกษา
เพื่อให้ผล ต่อเนื่อง เรื่องธัมมา
เลยตั้งหน้า เรียนต่อ น.ธ.โท
จบธรรมโท สมฤดี สี่แปดเจ็ด
เก็บผลเม็ด การศึกษา นานอักโข
เหมือนมีแผน สกัดดาว คราวจะโชว์
อยู่เอโก ไร้ครูสอน สะท้อนใจ
อยากจะเรียน นักธรรมเอก เฉกคนอื่น
แทบสะอื้น ครูไม่มี นี้ไฉน
ทำไงดี ที่จะสู้ อยู่ต่อไป
ตัดสินใจ ให้ความรู้ ครูนักธรรม
เป็นครูสอน นักธรรมตรี ที่โพธิ์แก้ว
สอนในแนว ธรรมเรืองรอง ของพระสัมม์ฯ
สร้างลูกศิษย์ คิดค้ำจุน และหนุนนำ
ให้เดินตาม ตามรอยบาท พระศาสดา
.......................
อุปสมบท
วันที่สิบหก มีนาคม ปีแปดแปด
ปีเลขแฟด เลขนี้ มีความหมาย
สามเณร สมศักดิ์ สลัดกาย
ยอมถวาย อกในศาสน์ ประกาศตน
สละเพศ เหล่าก่อ สมณะ
เข้าบวชพระ ไม่สึก เตรียมฝึกฝน
ตัดบ่วงบาทว์ ในจิต อุทิศตน
จะดำรง พุทธศาสน์ อย่างอาจอง
วัดโพธิ์แก้ว เป็นสถาน การอุปสมบท
เขตกำหนด อันอร่าม ตามประสงค์
วินัยกรรม สำเร็จ เจตน์จำนงค์
กาลดำรง เสร็จบ่ายสี่ ชีวานนฺโท
หลังจากบวชพระแล้ว
อุปสมบท เสร็จสิ้น ถวิลหวัง
ใจก็ยัง อยากเรียน เพียรฝึกฝน
ตัดสินใจ เข้ากรุงเทพฯ เขตชุมชน
เมืองที่คน หลงใหล อยากไปกัน
ปีแปดแปด เก็บกระเป๋า คว้าเอาย่าม
มุ่งไปตาม เส้นทาง ที่สร้างฝัน
ถึงกรุงเทพ เมืองใหญ่ ไม่กี่วัน
เมืองสวรรค์ คนแสวง ใช้แรงกาย
วัดมหาธาตุ วัดใหญ่ ให้ที่พัก
เฝ้าฟูมฟัก เรียนอบรม อย่างสมหมาย
จบธรรมเอก บาลี นี้สมใจ
พร้อมกับได้ เปรียญสี่ ที่เฝ้ารอ
สี่ห้าปี ที่อยู่วัด มหาธาตุ
ได้สมมาด สรรพวิชา ห้าพอศอ
ได้เรียนเทศน์ วิเวกธรรม นำเกินพอ
เผยแผ่หนอ งานพระศาสน์ ฝึกหัดทำ
อยู่ต่อมา อุปัชชาย์ ได้มาเรียก
ให้สำเนียก ช่วยงานหลัก ภาคสนาม
ให้กลับไป ช่วยงาน ที่ท่านทำ
อำเภอคำ-ชะอี ที่บ้านเดิม
จากบทเรียน ที่สะสม มาจนหง่อม
ท่านจึงพร้อม ช่วยทุกด้าน งานเฉลิม
ทั้งงานสอน การก่อสร้าง ทางต่อเติม
เผยแผ่เพิ่ม เสริมปฏิบัติ วิปัสสนา
นับเป็นพระ รูปแรก คำชะอี
ที่ได้มี ผลงานหลัก นักศึกษา
กลับบ้านเกิด เป็นเสาหลัก พัฒนา
ช่วยครูบา พัฒนาศาสน์ วิลาศไกล
ฝีมือเยี่ยม ผลงานเด่น เห็นประจักษ์
มหาสมศักดิ์ ชีวานันท์ ทันสมัย
เน้นงานสอน งานพินิจ พิชิตใจ
ธรรมไสว ทั่วคำชะอี มีผลงาน
ทั้งพระเณร โยมญาติ ปราชญ์แซ่ซ้อง
เป็นพระทอง คำชะอี มีสุขศานติ์
สร้างสำนัก ปฏิบัติใจ ในไม่นาน
สร้างเส้นทาง พุทธบุตร พิสุทธิ์เอย...
......................................................

แต่ง..เพื่อสดุดีและบูชาคุณของหลวงตา ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ หากมีการคลาดเคลื่อน ไม่เหมาะสม หรืออะไรก็ตาม ก็ขอกราบอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ด้วยความเคารพอย่างสูง
อาลัยมหาสม
............


จากอีกแล้ว ธรรมทูต บุตรพระสัมม์ฯ
ผู้มีนาม ที่โสภา มหาสม
ดับความทุกข์ ในสังขาร ที่นานนม
สุดจะข่ม ความอาลัย ได้เอ่ยกลอน
วันที่สิบสาม ตุลาฯ ท่านลาจาก (ปี๒๕๕๑)
ทิ้งเพียงซาก สังขาระ อนุสรณ์
ฝากผลงาน เกียรติประวัติ พัฒนกรณ์
ทิ้งอาวรณ์ และอาลัย ให้อาดูร
เหลือเพียงภาพ ความดี ที่สะพัด
ในประวัติ ลิขิตา มาอุดหนุน
เหลือผลงาน ที่ยิ่งใหญ่ ในใบบุญ
แผ่จำรูญ ให้โลกา คราจากไป
ทิ้งตำรา ไว้หลายเล่ม เตรียมเผยแผ่
สังขารแย่ โรครุมย่ำ ทำไฉน
ข่าวว่าท่าน เป็นหนัก ไวรัสไต
มรณภัย ไม่หนุนนำ ทำได้ลง
ท่านจำใจ ทิ้งญาติโยม ข่มดวงจิต
สุดชีวิต ที่จะห้าม ตามประสงค์
โอ้สังขาร อนิจจัง ท่านได้ปลง
ชาติหน้าคง พบกัน ท่านจากเรา
ทิ้งความรัก ความห่วงหา ศรัทธาล้น
ทิ้งทุกคน ทิ้งธรรมทูต ให้สุดเหงา
ทิ้งผลงาน อันล้นหลาก ฝากให้เรา
ทิ้งความเศร้า ของชาวพุทธ สุดอำลา
จงไปดี เถอะนะ มหาสม
เราทุกคน จะคิดถึง คณึงหา
พระทรงธรรม จำรัตน์ ปิฏกา
จะขอตรา ประทับไว้ ไม่ลืมเลือน


เมื่อฉันบวช
............

วันที่เจ็ด มิถุนา ข้าได้บวช
หัดฝึกสวด ภาวนา ในผ้าเหลือง
ด้วยวิธี ที่เรียบง่าย ไม่สิ้นเปลือง
มารู้เรื่อง ของสงฆ์ ผู้ทรงคุณ
วันปลงผม ของอาตม์ ญาติสุดปลื้ม
ยังไม่ลืม วันนั้น ฉันอบอุ่น
สละผม เป็นหอบ ตอบแทนคุณ
เพื่อเพิ่มพูน กตัญญู รู้ทดแทน
ได้สละ ทุกอย่าง สร้างทางมรรค
ทิ้งความรัก เงินทอง ของหวงแหน
ถึงจะเกิด ในวิเทศ เขตต่างแดน
หลานไทยแลนด์ ขอตั้งจิต อุทิศตน
ท่องขานนาค ยากแท้ โอ้แม่เอ๋ย
เพราะไม่เคย กับภาษา พาสับสน
ภาษาไทย บาลี นี้ชอบกล
ทำเสียจน ข้าท้อ เกือบขอลา
ด้วยศรัทธา กตัญญู ข้าสู้ได้
เลยตั้งใจ ฝึกเรียน เพียรศึกษา
ในที่สุด ข้าท่องได้ ใกล้เวลา
อุปสัปทา-เปกโข โชว์ความดี
วันข้าบวช คนมากมาย ได้มาร่วม
เป็นวันรวม ญาติผู้ใหญ่ ให้สุขี
ข้าแต่งชุด นาคสะกาว ขาวเหมือนชี
พร้อมกับมี ขบวนแห่ ข้าแย่เลย
ข้าถูกจับ ขึ้นคออั้ง ช่างงงยิ่ง
มันเป็นสิ่ง ไม่สบาย ให้แค่เฉย
วันแห่นาค วันนั้น ฉันไม่เคย
สุดจะเอ่ย จำนรร พรรณนา
ฉันได้บวช วัดสะกินอ พอจำได้
แห่กันใหญ่ อย่างสุดปลื้ม ชื่นหรรษา
มีญาติโยม ปราชญ์มิตร จิตเมตตา
ตั้งใจมา ร่วมงาน กันหลายคน
หลังจากบวช ในร่มผ้า กาสายะ
ได้เป็นพระ สบายใจ ไม่สับสน
พร้อมได้เรียน เขียนอ่าน ด้านมงคล
เร่งฝึกฝน เรียนรู้ อยู่เอกา
Meditation ฉันใคร่ ได้สัมผัส
เร่่งฝึกหัด เดินจงกรม ผสมผสาน์ (อ่านว่าผะสมผะสา)
ทั้งสวดมนต์ ทั้งฝึกหัด วิปัสสนา
เป็นเวลา ข้าดื่มด่ำ พร่ำความเพียร
ได้รับรส พระธรรม นำความสุข
นิรทุกข์ กับกาย หาใดเหมือน
ข้าตั้งใจ ปฏิบัติ หัดพากเพียร
เนิ่นจำเนียร ข้าเรียนรู้ อยู่วัดวา
ข้าได้ทำ หน้าที่ ดีของสงฆ์
มุ่งดำรง พระวินัย ได้ศึกษา
เหล่าญาติโยม สาธุ มุทิตา
อนิจจา ข้าต้องสึกฯ นึกเสียดาย
เส้นทางเดิน เป็นสงฆ์ คงยุติ
เพราะข้านี้ มีกิจ คิดใจหาย
ฉันเกี่ยวพันธ์ สันนิวาส ยากเปลื้องกาย
เลยต้องไป ทำหน้าที่ โลกีย์ชน
ขออภัย ชาวพุทธ ทุกทุกท่าน
ที่ทำทาน ร่วมกัน วันหลายหน
ข้านั้นมี เวลา มาไม่ดน
เพราะมีคน ที่ห่วงหา และอาลัย
ไว้ข้ามี โอกาส อาจจะกลับ
ข้าขอรับ ด้วยวาจา มาแก้ไข
หากบุญญา วาสนาดี ปีต่อไป
ฉันคงได้ กลับมาบวช อยู่รวดปี
ก่อนข้าสึกฯ ข้าภูมิใจ ได้ไปเทศน์
เติมธรรเมกข์ มารดาบิดา พาสุขี
ถึงคำเทศน์ ไม่ชัด ถนัดถนี่
แต่ข้ามี ความภูมิใจ ได้แทนคุณ
ฉันได้ทำ ให้พ่อแม่ แกเป็นญาติ
กับพระศาสน์ ของพระศรีฯ มีกุศล
ได้เรียนรู้ ระเบียบพุทธ วิสุทธิ์คุณ
ฉันอบอุ่น ก่อนสิกขา ขอลาที
ขอขอบคุณ พระอาจารย์ ท่านทั้งสอง
ผู้ให้ครอง นำหน้า พาสุขี
ขอกราบลา โยมญาติ ปราชญ์ผู้ดี
วันพรุ่งนี้ ตัวอาตม์ ขอจากลา
ถึงฉันไป ฉันไกล ก็แต่ร่าง
แต่ไม่ห่าง การร่ำเรียน เพียรศึกษา
ฉันยังอยู่ ใกล้จิต ชิดวัดวา
ฉันขอลา แค่นี้หนอ ขอเอวัง



ทิ้งแม่
............

แสนสลด หดหู่ เมื่อดูข่าว
สุดปวดร้าว ดวงใจ เมื่อได้เห็น
หญิงชรา น้ำตาเปื้อน เหมือนมีเวร
นั่งรถเข็น ร้องไห้จ้า น่าเศร้าใจ
ข่าวว่ายาย โดนลูกทิ้ง สิ่งที่พบ
อยู่กับลูก หลายตลบ ไม่สดใส
ลูกสับเปลี่ยน เวียนหมุน ทุกคนไป
จนสุดท้าย ยายโดนปล่อย ให้ลอยแพ
ลูกสี่คน แม่เลี้ยงได้ ให้ความหวัง
หมดกำลัง ลูกทิ้งยาย ไม่แยแส
อนาคต หวังลูกน้อย คอยดูแล
คราวนี้แม่ ขอเพิ่งบุญ อบอุ่นใจ
ถึงจะอยู่ อย่างแร้นแค้น แม่ไม่บ่น
แม่ขอทน เพราะไม่รูั จะอยู่ไหน
ถึงจะกิน ข้าวกับพริก เผ็ดปานใด
แม่ขอตาย ใกล้ลูกลูก ยอมทุกข์ทน
ขอแม่อยู่ กับลูกหนา อย่าทอดทิ้ง
แม่เป็นหญิง ชรา หาใครสน
แม่ขอพัก กายใจ ใครสักคน
จะไม่บ่น ไม่ว่า กล้าสู้ตาย
ลูกไม่ฟัง คำอ้อนวอน ย้อนให้แม่
เป็นหญิงแก่ หมดเยื่อใย ไร้ความหมาย
ลูกสะใภ้ ใจเด็ด เอ็ดว่ายาย
พร้อมกับได้ เรียกเท็กซี่ ที่ผ่านมา
ยกยายฝืน ขึ้นรถ หมดภาระ
พร้อมก็ผละ หนีไป ไร้กังขา
ชั่งทำบาป อย่างใหญ่ ไร้เมตตา
ทิ้งมารดา ให้ระกำ ทำได้ไง
ร้องไห้จ้า บนรถ หมดต่อสู้
ยายไม่รู้ ชะตากรรม ทำไฉน
ยายคว้างเคว้ง เวรซัด มัดกายใจ
ยายร่ำไห้ ปากสั่น วันจากจร
ลูกได้ทำ กรรมหนัก อักขรา
ทิ้งมารดา ผู้เลี้ยงดู คู่คำสอน
ไม่กตัญญู รู้คุณ อุ่นอาทร
ขอแต่งกลอน สะท้อนเสริม เพิ่มปัญญา
หากผู้ใด ใครผู้หนึ่ง ซึ่งมีแม่
ขอให้แผ่ ความห่วงใย อาลัยหา
จงเลี้ยงท่าน อุดหนุน คุณมารดา
แล้วบุญญา จะสนอง คุ้มครองตน
จะประสบ ความสำเร็จ เพชรจำรัส
สารพัด ดีตามตัว ทั่วแห่งหน
เป็นอภิ- ชาตะ ปุตตชน
จะส่งผล เจริญสุข ทุกเมื่อเทอญ



""ประวัติMK""
(ประวัติผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งMK ที่โด่งดัง)

จากจังหวัด ชัยนาท ประกาศสู้
เข้ามาสู่ กรุงสวย ด้วยความหวัง
เป็นแม่ครัว โอบอุ้ม ทุ่มกำลัง
สร้างเส้นทาง หญิงเหล็ก เป็นเพชรงาม
มุ่งทำงาน ทุกก้าวย่าง อย่างสุดหิน
กับคนจีน เจ้านาย ในสยาม
ด้วยมานะ บากบั่น พยายาม
ไม่เกรงขาม ความเหนื่อยล้า กล้าสู้ตาย
เหมือนสวรรค์ มีตา ป้าได้ร้าน
อยู่ไม่นาน นายไปนอก บอกจะขาย
เป็นเงินผ่อน ป้อนใช้ ให้สบาย
ป้าทุ่มกาย กัดฟันซื้อ ด้วยมือตน
จากชื่อร้าน ชื่อจีน ถิ่นที่ตั้ง
ป้าก็ยัง ใช้ชื่อย่อ พอฝึกฝน
ชื่อMK ง่ายง่าย ให้ได้ยล
จนทุกคน เขารู้ อยู่มานาน
สมัยแรก ป้าทำเลิศ เปิดแป๊ะซะ
ปลาผงะ รสแซ่บ แบบผสาน
ทั้งเนื้อตุ๋น ต้มยำ ทำมานาน
payof
ร้าน ได้สำเร็จ เด็ดจริงๆ
ดวงคุณป้า ไม่หยุด ฉุดไม่อยู่
เมื่อจู่จู่ มีนายห้าง ท่านสุดหนิง
ชวนไปเปิด ร้านที่ห้าง งานเอาจริง
ยิ่งเป็นสิ่ง ให้ป้า น่าจะลอง
ห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว เราก็รู้
ป้าขึ้นสู่ บนห้าง อย่างผยอง
ป้าทุ่มกาย ทุ่มใจ เพื่อให้ครอง-
ใจลูกน้อง พ้องลูกหลาน ท่านเอาจริง
สูตรอาหาร นานา ป้าคิดค้น
ทำเสียจน คนเข้าออก บอกว่าหนิง
ติดใจกัน อย่างมั่นใจ ไม่ประวิง
นับเป็นสิ่ง ป้าทองคำ ทำได้ดี
อยู่ต่อมา นายห้าง ท่านได้ให้
ที่กว้างใหญ่ ขยายร้าน งานเศรษฐี
บอกอาหาร ด้านสุกี้ นี้ไม่มี
ช่วยทำที นะคุณป้า คราต่อไป
ป้าได้นึก ปรึกษาลูก ทุกคนพร้อม
ทุกคนยอม ทำตาม งานนี้ใหญ่
ถึงไม่เคย ทำสุกี้ ที่เกริกไกร
ก็จะยอม พร้อมใจ ให้ลองดู
ตบแต่งร้าน ให้สวย ด้วยสีสรร
ปรับแต่งม่าน ให้สลวย ดูสวยหรู
จัดเค้าส์เตอร์ จัดโต๊ะ พร้อมผ้าปู
ป้าฮึดสู้ เอาไง ให้รู้กัน
และแล้วป้า ก็ทำ ได้สำเร็จ
สูตรรสเด็ด น้ำจิ้ม ยิ้มสุขสันต์
สูตรสุกี้ คนไทย ได้ชิมกัน
ดั่งสนั่น ทั่วห้าง อย่างทรนง
จากหนึ่งร้าน สองร้าน และร้านร้าน
อลม่าน คนเข้าร้าน ตามประสงค์
ทำอาเสี่ย เมืองไทย ให้ได้งง
ป้าบรรจง สร้างฝัน นั้นงดงาม
จากวันนั้น ถึงวันนี้ สุกี้ป้า
ทั่วทิศา เรียกหา ป้าสยาม
ตราMk ดังทุกหัว ทั่วเขตคาม
รู้ในนาม Mkป้า น่านิยม
ปัจจุบัน สองร้อยกว่า สาขาได้
ทั้งที่ไทย นอกทิศา สง่าสม
หากเอ่ยชื่อ ร้านMk เห่กันชม
ขอชื่มชม ป้าหนอ ขอเอวัง
............................................................
(บทกลอนนี้ขอแต่งไว้อาลัย และสดุดี คุณป้าทองคำ เมฆโต ผู้จากไป) 


"ก๋วยเตี๋ยวชามละหมื่น""

ได้รับรู้ คู่เมียผัว ครอบครัวสู้
ตั้งร้านอยู่ ในเมืองใหญ่ ใกล้หัวเฉียว
มุมานะ สุดขั้ว ตัวเป็นเกลียว
ขายก๋วยเตี๋ยว ใครก็รู้ อยู่แรมปี
เช่าร้านเขา ตั้งเป็นแผง แพงสุดโหด
ก็ได้อด- ทนสู้ อยู่ไม่หนี
เก็บรอมริบ ปีแรกหนอ ก็ขายดี
เลยพอมี เงินเช่าเขา สุดเบาใจ
สองสามี ภรรยา ศีลาเยี่ยม
เป็นผู้เปี่ยม ธรรมเด่น เป็นนิสัย
ชอบใส่บาตร หน้าร้าน พระผ่านไป
พร้อมก็ให้ ทานวณิพก ยาจกชน
มีวันหนึ่ง ได้ทำทาน อันสุดหนิง
ได้มีหญิง แร้นแค้น แสนขัดสน
เสื้อผ้าขาด นั่งคุกเข่า เศร้ากมล
ลูกสองคน ขนาบข้าง นั่งยองยอง
พร้อมกับเอ่ย วจี ที่แหบแห้ง
บอกหมดแรง อดข้าว หน้าเศร้าหมอง
ลูกสองคน ร้องให้จ้า น้ำตานอง
นั่งประคอง มือพนม ก้มกราบดิน
สองสามี ภรรยา หน้าสลด
แสนรันทด สงสาร ปานถวิล
ตักก๋วยเตี๋ยว เร็วรี่ ปรี่ให้กิน
ไม่ระคิน สงสาร ปานทุกข์ตน
พร้อมกับบอก ว่าต่อไป วันใดว่าง
จงเดินทาง มากินได้ วันหลายหน
จากวันนั้น สองแม่ลูก ที่ทุกข์ทน
ก็แวะวน มาที่ร้าน วันหลายครา
ทีแรกนั้น สามแม่ลูก มาทุกบ่อย
ต่อมาค่อย เริ่มห่างหาย ได้กังขา
และล่าสุด ปีละครั้ง จึงจะมา
พร้อมหน้าตา เริ่มผ่องใส ใจสบาย
ยี่สิบปี ผ่านไป วัยเลยร่วง
ได้ทิ้งช่วง ที่แม่ลูก ได้หดหาย
ไม่ได้มา ที่ร้าน นั้นเปลี่ยวใจ
สองสามี ภรรยาได้ ให้อาวรณ์
อยู่ต่อมา ขายก๋วยเตี๋ยว มันเลี้ยวลด
ขายไม่หมด หน้าหมองไหม้ ใจทอดถอน
เศรษฐกิจ ไม่สดใส ได้ขาดตอน
ทุกหญ้าหย่อม เดือดร้อนกัน สนั่นเมือง
สองสามี ภรรยา ถึงคราแย่
ลำบากแน่ เหนื่อยเข้าตา จนฟ้าเหลือง
ค่าเช่าร้าน ก็หมดสิ้น แทบกินเกลือ
พูดสั่นเครือ เมื่อเถ้าแก่ แกขอเงิน
เถ้าแก่ฤทธิ์ ขีดเส้นตาย ให้พวกเขา
พรุ่งนี้เช้า เอาร้านคืน อย่าขืนเขิน
เพราะหลายเดือน ที่ได้ ไม่ให้เงิน
อย่าอยู่เพลิน เงินต้องจ่าย ให้รู้ซี
เก็บข้าวของ เครื่องก๋วยเตี๋ยว ใจเหี่ยวหด
แสนรันทด กลัดหนอง หน้ามองศรี
โอ้คืนนี้ คืนสุดท้าย ทำไงดี
ใครหนอมี เงินช่วยข้า จะบ้าตาย
ในขณะ ที่ทั้งสอง เก็บของนั้น
หูก็พลัน ได้ยินเสียง สำเนียงใส
ขอก๋วยเตี๋ยว ใส่น้ำ ชามใหญ่ใหญ่
จึงมองไป ต้นสำเนียง เสียงที่มา
เจ้าของเสียง เดินเลี่ยงมา นั่งหน้าร้าน
พร้อมยิ้มหวาน ปานมิตร ที่คิดหา
สองหนุ่มน้อย ที่มา กับมารดา
เหมือนดารา หน้าหล่อเหลา ดูเข้าที
สองสามี ภรรยา บอกหน้าคุ้น
เหมือนเกื้อกูล กันมา คราสุขี
หากเป็นคน ร้านเคียงกัน นั้นไม่มี
ยามราตรี ใกล้ปิดร้าน ดันเพิ่งมา
ยกก๋วยเตี๋ยว มาให้ ใจสั่นสั่น
ทันใดนั้น หญิงกลางคน ก็บ่นว่า
ชามก๋วยเตี๋ยว ที่ใหญ่ใหญ่ ใบมหึมา
ไม่เอามา ให้ลูกเรา ที่เฝ้ารอ
สองสามี ภรรยา อ้าปากค้าง 
มองมาทาง ตรงหน้า อ้าปากหวอ
นี่ก็คือ สามแม่ลูก ทุกคนรอ
ที่เคยขอ กินก๋วยเตี๋ยว เคยเลี้ยวมา
หญิงกลางคน มอบเงินให้ ไว้ห้าหมื่น
ไม่ต้องคืน ฉันให้ ไว้ซื้อหา
เพราะพวกคุณ เคยช่วยฉัน กับลูกมา
ยามถึงครา ฉันร่ำรวย ขอช่วยคืน

อานิสงส์ แห่งก๋วยเตี๋ยว เลี้ยวมาค้ำ
ช่างงดงาม ยามอิงแอบ แทบสะอื้น
สองสามี ภรรยา ครากล้ำกลืน
สุดจะฝืน น้ำตาตก มารดทรวง
ได้มีเงิน จ่ายเช่าร้าน กันเหนาะเหนาะ
นั้นก็เพราะ เทวดา ณ แมนสรวง
ท่านได้เห็น คนดี ไม่มีลวง
เลยเป็นห่วง ช่วงจะจบ ให้พบดี


""พญาอินทรี""


(พระธรรมทูต เปรียบได้กับพญาอินทรี อย่างไร?)
.............
เจ้าพญา ผู้พิทักษ์ เหล่าปักษี
แม่อินทรีย์ จอมวิหค ผกเวหา
ผู้เป็นใหญ่ ในขุนเขา เฝ้าพนา
ครองนภา อากาศกว้าง อย่างทระนง
มีคุณธรรม อันยิ่งใหญ่ ให้เล่าขาน
พญานก สืบสาน อย่างได้ผล
คือวิธี เลี้ยงลูกน้อย ให้คอยยล
ขอทุกคน ติดตามกลอน ตอนต่อไป
พญานก จะขยัน หมั่นหาเหยื่อ
มาแผ่เผื่อ ลูกนก จิตสดใส
เฝ้าเป็นห่วง ลูกน้อย ผู้กลอยใจ
คอยห่วงใย ถนอม กล่อมลูกยา
สายตาสอด ส่องภัย ให้แก่ลูก
จิตฝังผูก กลัวลูกหล่น ลงเวหา
หมั่นนอนกก ให้อบอุ่น แก่ลูกยา
วันเวลา ผ่านไป จนใหญ่โต
ลูกทุกตัว เติบใหญ่ อย่างได้ผล
ต่างซุกซน บนรังรัก อยากบินโผ
มองเห็นแม่ โผผิน บินโฉบโชว์
ต่างอยากโผ บินข้าม ตามมารดา
พญานก บินว่อน เพื่อสอนลูก
ให้รีบลุก ปลุกใจ ให้ถลา 
สอนให้บิน กระโจน ร่อนโผนมา
ถึงเวลา ลูกรัก จักโบยบิน
ลูกพญา อินทรีย์หนอ พอได้ฟัง
ต่างก็ย่าง เตาะแตะมา ใกล้ผาหิน
บางตัวกล้า เดินต้วมเตี้ยม เตรียมจะบิน
บางตัวสิ้น แรงหด ตกจากรัง
ตัวที่แข็ง แรงมี ปรี่ขึ้นฟ้า
ตัวที่แรง อ่อนหล้า คราหมดหวัง
ต่างตกเหว ชีวิน ก็ภินท์พัง
ฝากเป็นเรื่อง ความหลัง ที่ยังงง
สุดวิสัย ที่แม่อินทรีย์ จะปรี่รับ
สุดวิสัย ที่จะคาบ ตามประสงค์
จึงปล่อยให้ ลูกตัวนิด มาปลิดปลง
เพราะประสงค์ ลูกที่แข็ง แรงเท่านั้น
เปรียบประดุจ ชีวิตเรา เฝ้าฝึกฝน
สู้อดทน หนักเบา เฝ้าขยัน
จึงจะรอด ปลอดภัย ไร้โทษทัณฑ์
ส่วนผู้ที่ ประมาทนั้น พลันมลาย
เหมือนลูกนก อินทรีย์ ที่สาธก
นำมาถก ชี้แจง แถลงไข
เป็นตำนาน พญาอินทรีย์ ระบือไกล
เลี้ยงลูกน้อย เติบใหญ่ ปล่อยให้ตาย
เลือกลูกน้อย ที่สดใส ให้คงอยู่
เพื่อต่อสู้ อุปสรรค อย่างสมหมาย
ปล่อยลูกน้อย กำลังเพลา ไม่เอาใจ
ให้ล่วงหล่น ลงเหวใหญ่ ไพรพนา
พระธรรมทูต ก็เช่นกัน ผ่านมาได้
ที่ล้วนแล้ว เอาใจใส่ ใฝ่ศึกษา
จึงสอบผ่าน ภาคจิตะ ภาวนา
สู่ภาควิชา- การกัน อย่างมั่นคง
ส่วนผู้ที่ อ่อนแอ ไม่แผ่เผื่อ
ไม่เอื้อเฟื้อ คำสั่ง อย่างเหมาะสม
จึงถึงการ ถูกทิ้งไว้ ในกลางดง
เลยหัวลง เอวัง กลับรังเดิม


" อุบาสกอุบาสิกาคือใคร?"

ผู้ที่มา นั่งใกล้ ไม่ไกลพระ
รับภาระ ให้ทาน อาหารฉัน
รักษาศีล แปด,ห้า มาฟังธรรม์
ดำรงมั่น หมั่นรู้ เฝ้าดูใจ
อุบาสก โยมผู้ชาย ด้วยหมายรู้
ที่เป็นผู้ พันธ์ผูก ถูกพระได้
คอยอังคาส อาราธนาธรรม นำใจกาย
มาถวาย การดูแล แก่วัดวา
อุบาสิกา โยมผู้หญิง ด้วยจริงแท้
ผู้เผื่อแผ่ ทุกอย่างหนอ ก็สรรหา
พระขาดเหลือ อะไร ไม่ระอา
น้ำปานา อาหารด้วย ช่วยดูแล
อุบาสก อุบาสิกา วัดวารู้
ก็คือผู้ อุปถัมภ์ ศาสนา
ดำรงมั่น สุดสวย ด้วยศีลา
ภาวนา สง่าอยู่ คู่พระเณร



" พระคุณแม่"

ชีวิตเด็ก เล่นซน หกล้มพลาด
พ่อแม่ปราด เข้ามา เยี่ยวยาให้
เมื่อยามจิต โศกเศร้า เหงาอาลัย
พ่อแม่ให้ ปลอบมั่น ขวัญชีวา

พ่อแม่นั้น ถนอม กล่อมเลี้ยงลูก
คืนวันผูก โหยให้ อาลัยหา
ทุ่มเทให้ ทั้งชีวิต จิตวิญญาณ์
วันเวลา ผ่านไป ยิ่งใยดี
ลมหายใจ พ่อแม่ มีแต่ลูก
จิตพันธ์ผูก ลูกให้ ได้สุขี
ถึงพ่อแม่ ไร้สุข ทุกข์ทวี
ชีวิตนี้ พลีให้ลูก ทุกเวลา
จะมืดค่ำ ทำงาน นั้นเพื่อลูก
จิตฝังผูก ลูกให้ ได้ศึกษา
ทั้งพ่อแม่ อาบเหงื่อไหล ได้เงินมา
วันข้างหน้า ลูกนั้น พลันสบาย
ยามเมื่อลูก ไม่เชื่อฟัง รั้นพ่อแม่
เจ็บใจแท้ พ่อแม่นั้น ขวัญสลาย
พ่อแม่นั้น ทั้งเหนื่อย เมื่อยขาดใจ
แต่ทุดท้าย ลูกไม่นำ ทำได้ลง
แต่หากลูก เป็นคนดี มีความสุข
นิรทุกข์ อภิรมย์ สมประสงค์
แต่เมื่อยาม ลูกคลาด ได้พลาดลง
พ่อยังคง แม่ยังคอย ด้วยเมตตา
....................
พระคุณแม่ ๒
จะขอกล่าว พรรณนา พระคุณแม่
เริ่มตั้งแต่ แม่อุ้มท้อง ประคองศรี
แม่ทนทุกข์ สุดพร่ำ ช้ำชีวี
ใจกายนี้ พลีให้ลูก เฝ้าผูกพันธ์

แม่อุ้มท้อง ประคองลูก สุดที่รัก
แม่ลำบาก ใจกาย ไม่สุขสันต์
บางครั้งแม่ ต้องตื่น ขึ้นฉับพลัน
เพราะลูกนั้น ด่าวดิ้น เหมือนสิ้นใจ
แม่เดินเหิน ไปมา ท่าลำบาก
เจ็บปวดมาก ผิวกาย ไม่ผ่องใส
หน้าซีดเผือด เลือดฝาด แม่ขาดไป
ในภายใน ปั่นป่วน ชวนให้ตรม
บางครั้งแม่ เจ็บแสน แน่นหน้าอก
แม่นอนกก ใจหาย ไม่สุขสม
สรรพางค์ ร้อนผ่าว ร้าวระบม
แม่ทุกข์ตรม เพื่อลูกน้อย ผู้กรอยใจ
บางครั้งแม่ คลื่นเ***ยน อาเจียนล้ม
แม่เป็นลม นอนแผ่ ต้องแก้ไข
บางครั้งหอบ แม่เหนื่อย เมื่อยขาดใจ
แม่ทุกข์ รักษาครรภ์ นั้นเก้าเดือน
วันที่ลูก ลืมตา มาดูโลก
แม่ทุกข์โศก ซ้ำร้าย หาใดเหมือน
แม่ด่าวดิ้น กรีดร้อง ก้องสะเทือน
แม่เปรียบเหมือน ตกแหล่ง แห่งอบาย
เสียงลูกร้อง นอนดิ้น แม่สิ้นทุกข์
แม่มีสุข เพราะสม อารมณ์หมาย
สองมือกอด ลูกติด แนบชิดกาย
ถอนหายใจ ดูลูกน้อย พลอยยินดี
ลูกเกิดมา แม่พร้อม ถนอมเลี้ยง
เหนื่อยไม่เกี่ยง เพียงให้ลูก ได้สุขี
ริ้นจะไต่ ไรจะตอม พร้อมธุลี
แม่ปราณี พัดวีให้ หาใครปาน
ถึงเมื่อยาม ลูกร้อง ประคองกอด
มือแม่สอด อิงแอบ แนบขนาน
ยามลูกเศร้า เหงาใจ ไม่ชื่นบาน
แม่สงสาร ปลอบจิต หายพิษภัย
เลือดในกาย แม่นี้ พลีให้ลูก
ถึงจะทุกข์ ลำบาก ยากแค่ไหน
แม่ก็สู้ ไม่ย่อท้อ ต่อสิ่งใด
เพื่อจะให้ ลูกรอด ตลอดมา
บางครั้งลูก เจ็บป่วย ด้วยโรคร้าย
ไม่เว้นวาย แม่ก็ให้ การรักษา
จนบางครั้ง แม่ต้องนั่ง หลั่งน้ำตา
เพราะลูกยา แม่อดหลับ ขับตานอน
ถึงเมื่อยาม ลูกน้อย พลอยเติบใหญ่
แม่ห่วงใย ส่งให้เรียน เพียรฝึกสอน
เข้าโรงเรียน เขียนก.กา ยังอาวรณ์
แม่สั่งสอน อ้อนลูกน้อย ค่อยเรียนไป
เหงื่อของแม่ แต่ละหยด หยาดเพื่อลูก
จิตฝังผูก อนาคต ให้สดใส
แม่มีคุณ หนุนส่อง ผ่องอำไพ
แม่เสียใจ ในเมื่อลูก ถูกมลทิน


" พระคุณแม่ ๓ "
"แม่"เมื่อหวัง ตั้งใจ จะได้ลูก 
จิตพันธ์ผูก เทพเจ้า เฝ้าวอนขอ 
คอยถามฤกษ์ ฤดูนี้ ปีใดหนอ 
หวังได้หน่อ คือลูก ถูกฤกษ์ยาม 
**************** 
ครั้นระดู เอิบอาบ แม่ซาบซ่าน 
สมุฏฐาน ครรภ์ตั้ง ดังสอบถาม 
แม่แพ้ท้อง ครองทุกข์ โรคคุกคาม 
แต่ใจงาม เพราะความรัก ภักดิ์ลูกน้อย 
******************* 
แม่อุ้มครรภ์ วันแล้ว ก็วันเล่า 
กำหนดเก้า เดือนกว่า หาท้อถอย 
พอลูกคลอด ปลอดภัย สมใจคอย 
แม่จึงพลอย เริ่มต้น เป็น"ชนนี" 
***************** 



ยามทารก ตกใจร้อง ไห้จ้า 
แม่จะมา จุ๊บกระหม่อม จอมเกศี 
ให้ดื่มนม สมนาม "โตเสนตี" 
ผู้ปรานี ปลอบขวัญ ให้มั่นใจ 
*************** 
คราวลมแรง แสงแดด แผดเผากล้า 
เด็กจะรู้ เดียงสา ก็หาไม่ 
แม่เท่านั้น หวั่นระวัง ไม่ห่างไกล 
จึงเรียกได้ ไม่ลำเอียง "ผู้เลี้ยงดู" 
***************** 
ทรัพย์ของแม่ และพ่อ ต่อกันเข้า 
แม่จะเฝ้า คุ้มครอง ปกป้องอยู่ 
ด้วยใจหวัง ฝังปลูก ลูกเชิดชู 
ให้ก่อกู้ สกุลวงศ์ ดำรงนาน 
************** 
แม่ลำบาก ยากเข็ญ จนเย็นค่ำ 
ทุกวันพร่ำ ให้สำเนียก คอยเรียกขาน 
อย่างนี้ลูก อย่างโน้นลูก เกือบทุกกาล 
ไม่รำคาญ หรือระคาย หรือหน่ายรัก 
******************** 
พอลูกเติบ โตใหญ่ วัยแรกรุ่น 
เที่ยวหมกมุ่น มักชู้ สู่สมัคร 
ทุกยามเย็น ไม่เห็นมา ล่าช้านัก 
แม่ก็ชัก เดือดร้อน ก่อนใครใคร 
**************** 
เพราะฉะนั้น บัณฑิต คิดคุณแม่ 
ทุกวันแล ควรสักการ ท่านยิ่งใหญ่ 
ด้วยเสื้อผ้า,อาหาร,การลูบไล้ 
อาบน้ำให้,ให้ล้างเท้า,ให้เข้านอน

" ยายจ๋าผู้น่าสงสาร "
ได้เห็นภาพ ยายแก่ ชะแรวัย 
มันรู้สึก สลดใจ เป็นหนักหนา 
โอ้หนอ คุณาย น่าเวทนา 
สู้โดดเดี่ยว เอกา อยู่คนเดียว
.....................................

หอบสังขาร ดั้นรน จนตกกละ 
มุมานะ น่าสงสาร พานพบเห็น 
เหตุไฉน ยายถึง พึงรำเค็ญ 
เดินตระเวน เร่ร่อน นอนกลางดิน
.....................................
ลูกหลานยาย นั้นเล่า เขาไปไหน 
แล้วทำไม ทิ้งยาย ไม่ถวิล 
เหลือเพียงน้อย บั้นปลาย วายชีวิน 
หลานลืมสิ้น บ้านนี้ ที่ผุพัง
..............................
หอบสมุนไพร มาขาย ให้กายอื่น 
ส่วนตัวเอง ขมกลืน สะอื้นไห้ 
ต้องตากแดด หลังขึ้นเกลือ อาบเหงื่อไคล 
อนาคต สดท้าย ยายต้องทน
ถึงจะทุกข์ อย่างไร ไม่เคยขอ 
ไม่ได้งอ เท้ามือ หรือทำบ่น 
ทนกัดฟัน มานะเอื้อ สุดเหนือคน 
จะสู้ทน ด่าวดิ้น จนสิ้นใจ 
..............................................
ริมฟุตบาต สับสน คนเพ่นพ่าน 
ทอดสังขาร แอบอิง พิงต้นเสา 
สุดอ่อนล้า กายเนื้อ เหลือเพียงเงา 
นั่งซบเซา เหงาจิต ทั้งอิดโรย
ฝากชีวิต กับร่มเงา เสาไฟฟ้า 
เพราะตัวข้า สุดแย่ แลหิวโหย 
ชีวิตนี้ ชำรุด สุดจะโวย 
เรี่ยวแรงโรย ตาฝ่าฝาง นั่งถอนใจ 
.......................



หากทุกท่าน สงสาร ผ่านเจอยาย 
ขอจงได้ ซื้อของด้วย ช่วยเถิดหนา 
ธรรมทร ขอสาธุ มุทิตา 
เพื่อกันฉุด ยึดชีวา ยายจ๋า..เรา 
..............................

ปัจจิมวัย ใกล้ดับ ลับคล้อยเคลื่อน 
ธรรมะเตือน ให้เห็น เป็นทุกขัง 
ในร่างกาย ให้ชำรุด สุดจะพัง 
อะนิจจัง สังขาร ไม่ทานทน
ทุกขะ- ลักษณะ ปรากฏชัด 
อนิจจะ ก็ประหัด มาวัดผล 
อนัตตะ ลักษณะ มาเวียนวน 
ให้ได้ยล เห็นชัด มาวัดใจ
เป็นวัยที่ ต้องอาศัย ปัจจัยสู้ 
อย่าให้จิต หดหู่ อยู่ไฉน 
ต้องศึกษา ธรรมะ พระจอมไตร 
ในภายใน ภายนอก ซอกดวงมาลย์ 
.................
กำลังใจ ต้องดี มีคนให้ 
เป็นปัจจัย ไหลบ่า มาเกื้อหนุน 
มีลุกหลาน ดูแล แผ่จำรูญ 
มีต้นทุน บุญนิธิ มิโรยรา
หมั่นทำบุญ เข้าวัด ปฏิบัติธรรม 
ให้เห็นล้ำ ความจริง ส่งมีค่า 
เห็นความเสื่อม ไม่ทนทาน สังขารา 
ถึงชรา ใจกล้าแกล่ง ด้วยแรงบุญ

ขอฝากเตือน คนจะแก่ หรือแก่แล้ว 
อย่าได้แคล้ว เข้าวัด สนับสนุน 
มุ่งฝึกหัด ปฏิบัติธรรม จะจำรูญ 
สั่งสมทุน บุญนิธิ จะติดตัว 
..................
" รายการตีสิบ "
ขอโอกาส นำควันหลง ตรงวันแม่ 
มาเผื่อแผ่ แก่ธรรมไทย นำให้เห็น 
บรรยากาศ อันหรรษา หาเบี่ยงเบน 
ลูกประเคน เพลงให้แม่ แน่จริงจริง
บนรายการ ชื่อดัง อย่างตีสิบ 
จึงได้รีบ นำมา เห็นว่าหนิง 
มาสลับ กับคำกลอน ย้อนประวิง 
ให้เห็นสิ่ง ธรรมของเจ้า เยาวชน
รายการนี่ ทำดียิ่ง สิ่งที่พบ 
ทำประสบ พ่อแม่ลูก ชุดฝึกฝน 
ให้คนไทย ทั้งผอง ต้องได้ยล 
ทำเอาจน น้ำตาคลอ เลยหนอเรา
โดยเฉพาะ ฉอดพ่อแม่ แกตาบอด 
แต่ไม่จอด เลี้ยงดู อยู่คอยเฝ้า 
มุมานะ เลี้ยงลูก ทุกข์โรมเอา 
รักดุจเงา เฝ้าผสาน ผ่านพ้นภัย
จนบัดนี้ ลูกโตใหญ่ ได้ออกผล 
ให้ทุกคน ไร้กังขา หาสงสัย 
สิ่งที่ทำ นั้นเกิดหน่อ ก่ออำไพ 
ได้สมใจ ที่การุณ อุ่นดวงมาลย์
ถึงดวงตา พ่อแม่ แกมืดมิด 
แต่ดวงจิต ไม่มิดบอด กอดประสาน 
ด้วยสองมือ และชีวิต จิตวิญญาณ 
ทุ่มทำงาน เลี้ยงลูก ปลูกชีวิน

ลมหายใจ ของพ่อแม่นี้ มีแต่ลูก 
จะแสนทุกข์ อย่างไร ไม่ถวิล 
ขอเพียงลูก ของท่าน นั้นมีกิน 
จะสูญสิ้น เท่าไร ไม่สำคัญ
..............................................

ขอโอกาส แซมกลอน ย้อนวันแม่ 
มาเผื่อแผ่ คนไทย นำให้เห็น 
บรรยากาศ อันหรรษา หาเบี่ยงเบน 
ลูกประเคน เพลงให้แม่ แน่จริงจริง
บนรายการ ชื่อดัง อย่างตีสิบ 
จึงได้รีบ นำมา เห็นว่าหนิง 
มาสลับ กับคำกลอน ย้อนประวิง 
ให้เห็นสิ่ง ธรรมของเจ้า เยาวชน
รายการนี่ ทำดียิ่ง สิ่งที่พบ 
ทำประสบ พ่อแม่ลูก ชุดฝึกฝน 
ให้คนไทย ทั้งผอง ต้องได้ยล 
ทำเอาจน น้ำตาคลอ เลยหนอเรา
โดยเฉพาะ ฉอดพ่อแม่ แกตาบอด 
แต่ไม่จอด เลี้ยงดู อยู่คอยเฝ้า 
มุมานะ เลี้ยงลูก ทุกข์โรมเอา 
รักดุจเงา เฝ้าผสาน ผ่านพ้นภัย
จนบัดนี้ ลูกโตใหญ่ ได้ออกผล 
ให้ทุกคน ไร้กังขา หาสงสัย 
สิ่งที่ทำ นั้นเกิดหน่อ ก่ออำไพ 
ได้สมใจ ที่การุณ อุ่นดวงมาลย์
ถึงดวงตา พ่อแม่ แกมืดมิด 
แต่ดวงจิต ไม่มิดบอด กอดประสาน 
ด้วยสองมือ และชีวิต จิตวิญญาณ 
ทุ่มทำงาน เลี้ยงลูก ปลูกชีวิน
ลมหายใจ ของพ่อแม่นี้ มีแต่ลูก 
จะแสนทุกข์ อย่างไร ไม่ถวิล 
ขอเพียงลูก ของท่าน นั้นมีกิน 
จะสูญสิ้น เท่าไร ไม่สำคัญ 

" พระแม่ของไทย "
หญิงใดในโลกยิ่ง พระองค์ 
ย่างย่ำพระบาทลง โลกทึ่ง 
สิบสองสิงหาคมทรง พระเจริญ ยิ่งเฮย 
พสกนิกรไทยในอเมริกาได้ซาบซึ้ง ร่วมกัน ถวายพระพร 

" หัวอกแม่"
วันที่สิบห้า ตุลาคม ระทมทุกข์
เจสันลูก มาดับ ชีพลับหาย
ด้วยมีเหตุ อัตตะ-วินิบาตกาย
ขวัญสลาย ได้ทนทุกข์ สุดชีวี
แม่สุดครวญ หวนไห้ อาลัยรัก
สุดจะหัก อาลัย ในครั้งนี้
สุขที่เคย สั่งสมมา คราแรมปี
มาถึงที เอวัง หลั่งน้ำตา
แม่อุตส่าห์ กล่อมเกลี้ยง เลี้ยงดูลูก
ริ้นไม่ให้ใต่ ไรไม่ให้ถูก วิโยคหา
ยามที่ลูก โศกเศร้า เหงาอุรา
แม่ยังมา ปลอบจิต หายพิษภัย
ยามที่ลูก เล่นซน หกล้มพลาด
แม่ยังปราด เข้ามา เยียวยาให้
ยามลูกหิว แม่ยอมอด ให้หมดใจ
ลูกห่างไกล แม่ห่วงหา สุดอาทร
ทั้งกายจิต ชีวิตนี้ มีแต่ลูก
แล้วใยทุกข์ ใดหนา มาหลอกหลอน
ทำให้ลูก ตัดเยื่อใย ไปรอนรอน
ไม่อาทร รักชีวิต มาปลิดปลง
มาด่วนทำ นำพราก รักของแม่
นอนลงแคร่ ยอมตาย ได้ประสงค์
ทิ้งลูกเมีย ญาติมิตร จบชีพลง
เป็นผุยผง คืนดิน ถิ่นพสุธา
มีความทุกข์ ใดมาหลอก ไม่บอกแม่
ที่เคยแผ่ ความอาลัย ใจห่วงหา
มาสรุป จบวัย ในอเมริกา
สุดจะหา สิ่งแก้ไข ใครทุกข์ทน
สุดจะเพรียก หาใคร ให้มาช่วย
สุดจะป่วย การใดใด ให้สับสน
สุดจะทุกข์ สุดจะพร่ำ กันทุกคน
สุดจะทน สุดจะเอ่ย เผยวจี
ยากที่จะ แก้ไข ได้แล้วลูก
ยากที่จะ มีสุข ไร้ทุกขี
ยากที่จะ กลับฟื้น คืนมาดี
ยากที่จะ ทำดี มีคนชม
ยากที่จะ พร่ำเพรียก เรียกหาลูก
เชือกได้ผูก กายา อย่างสาสม
ยากที่จะ ลืมลูก แม่ทุกข์ตรม
ยากที่จะ สุดข่ม ตรมชีวี
ขอจงหลับ ให้สบาย ลูกชายแม่
ตัดความแย่ ความอาลัย ให้สุขี
ที่ผ่านมา ถึงไร้สุข ทุกข์ทวี
จงไปดี เถิดหนา อย่าอาวรณ์
อินเดียน่า ตราทุกข์ ผูกจิตแม่
เหลือเพียงแต่ ความจำ นำมาสอน
เป็นตำนาน ความรักลูก สุดอาทร
ยังอาวรณ์ ห่วงหา สุดอาลัย
 (ประพันธ์ให้โยมตุ่ม คราวที่ลูกชายตาย)


"ปล้น ๒ ตายาย"
............

ได้ทราบข่าว สองตายาย ได้ถูกปล้น
จากพวกโจร ใจโฉด หมดทรัพย์สิน
สองตายาย ได้ฐานะ อันจะกิน
เก็บทรัพย์สิน ไว้ในบ้าน มานานนม
ข่าวถึงหู พวกโจร ชนฉาวโฉด
มันทั้งหมด ปล้นตายาย ได้สาสม
สูญเกินล้าน ทองหยอง ต้องระทม
ส่องสังคม เลวร้าย ใครช่วยทัน
ปล้นครั้งเดียว นั้นหนอ ก็พอว่า
มันเวียนมา ปล้นซ้ำ ทำห้ำหั่น
ยึดบัญชี ธนาคาร อันสำคัญ
พร้อมร่วมกัน หลอกเบิกเงิน ทำเกินไป
สองตายาย สูญเิงินทอง หน้าหมองหม่น
ต้องทุกข์ทน ขมกลืน สะอื้นไห้
ทรัพย์ที่เคย เก็บหลายปี้ นี้จากไป
นั่งอาลัย โจรใจร้าย ทำได้ลง
อันที่พึ่ง สุดท้าย ตายายแย่
เหลือเพียงแต่ ยาทำใจ อยู่ในถุง
ธรรมาภรณ์ ห่มจิต คิดแต่ปลง
นั่งงวยงง ถึงปลงได้ ทำไงดี
ดูข่าวแล้ว ก็รู้สึก นึกสงสาร
จึงขอวาน หลานลูก ที่สุขี
ไปดูแล ท่านด้วย ช่วยท่านที
พร่ำวจี กวีกลอน ย้อนให้ฟัง
หากลูกหลาน ดูแลท่าน หมั่นสอดส่อง
คงไม่ต้อง เกิดเหตุการณ์ อันทุกขัง
อย่าปล่อยให้ ท่านอยู่ ตามลำพัง
เป็นช่องทาง หายนะ พระขอเตือน


"วันเกิดพระสุนทรพุทธิวิเทศ"
รองประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา
............
พระ - ผู้มี ศีลธรรม นำพระศาสน์
สุนทร - อาจ เปี่ยมดี มีหลากหลาย
พุทธิ - ธรรม นำปฏิบัติ หัดกายใจ
วิเทศ - ได้ อบอุ่น หนุนชีีวี
เนื่องในวัน คล้ายวันเลิศ วันเกิดท่าน
ขอกราบกราน คุณพระพุทธ พิสุทธิ์ศรี
อีกทั้งคุณ พระธรรม ล้ำมากมี
คุณความดี อริยสงฆ์ ดำรงชัย
ประดิษฐาน คุ้มครอง ป้องพระเดชฯ
ช่วยปกเกศ ให้เรืองรอง จงผ่องใส
ความทุกข์โศก จงปราศ พินาศไป
เป็นหลักใจ หลักธรรม นำปวงชน
ขอจงเป็น พระดี ศรีเท็กซัส
พร่ำประกาศ ประธรรม เย็นฉ่ำฝน
จงเป็นแสง แรงเมตตา นราชน
ชื่นกมล ใครยลกราบ ซาบซึ้งใจ
เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทยทอง ของปวงพุทธ
นำวิมุติ ธรรมทอง ที่ผ่องใส
แจกจ่ายธรรม อันเรืองรอง ของจอมไตร
ขจรไป ทั่วทิศา นภาดล
เป็นที่พึ่ง มหาชน คนข้องติด
ในความคิด ยังมืดหนา คราสับสน
เป็นแสงธรรม ส่องจิต พิชิตมล
ทั่วไทยชน ขอถวาย พรชัยเทอญ

ชีวิตที่แตกต่าง
เธอได้ร่ำ ได้เรียน เพียรสนุก
ฉันทนทุกข์ เรียนอ้างว้าง ข้างถนน
เธออิ่มหนำ สุขสันต์ กันทุกคน
ฉันต้องทน ไส้กิ่ว และหิวโซ
เธออ้วนพี หาวิธี ที่จลด
แต่ฉันอด แร้นแค้น แสนอักโข
เธอได้เล่น เกมส์โลดแ่ล่น แซนไฮโซ
ฉันพุงโล นั่งเล่นซาก บนกากดิน
...........................
เธออบอุ่น โดนอุ้ม นุ่มหมือนฟูก
ฉันกระดูก ทั้งลูกแม่ แย่หนักหนา
เธออิ่มนม พร้อมเรอ เธอนิทรา
ฉันนั้นอ้า ปากหว๋อ ขอนมกิน
เธอนั้นใส่ รองเท้าดี มียี่ห้อ
ฉันเชือกปอ มัดผูก ซุกเท้าใช้
เท้าของเธอ ขาวนุ่ม ละมุลละมัย
เท้าฉันไซร์ ดำปี๋ ทั้งปีเดือน
..................................
ความแตกต่าง ทั้งหมด ที่โพสต์ไว้
เมื่อวิจัย ให้ถูกจุด พุทธศาสนา
เป็นเพราะผล ของกรรม ได้นำพา
ลิขิตมา ให้ได้ยล ผลของกรรม
ใครทำบุญ ไว้ดี ที่เป็นเลิศ
ก็บังเกิด ในถิ่นดี ที่สุขสัมม์
พร้อมลาภยศ เพิ่มพูน ที่หนุนนำ
สุขติดตาม สรรเสริญ เพลินยินดี
แต่หากทำ อกุศล มลดำชั่ว
ก็พาตัว ตกอบาย ไร้สุขี
พร้อมเศษกรรม นำเกิด ไร้ฤกษ์ดี
เกิดชาตินี้ จึงมีกรรม ทำให้ตรม
เศษวิบาก สะกดรอย ต้อยตามติด
ให้ชีวิต ตกต่ำ ทำให้ขม
มักประสบ สรรพภัย ไร้คนชม
ชะตาข่ม ให้แร้นแค้น แสนรำเค็ญ
ขอชาวพุทธ อย่าได้เป็น เช่นภาพโพสต์
จงงามงด บุญกร้ำกราย หายทุกข์เข็ญ
จงตั้งใจ รักษาบุญ หนุนบำเพ็ญ
ให้งามเด่น ทุกทิวา ราตรีเทอญ


ฆาตกรรมวัดพรหมคุณาราม อริโซน่า

โอ้อนาถ ฆาตกรรม อำมหิต 
บุกประชิด ยิงท้ายทอย สอยข้างหลัง 
ตายเกลื่อดกลาด ทั้งพระโยม วัดพรหมฯดัง 
ญาติโยมต่าง หลั่น้ำตา ด้วยอาลัย
เหตุการณ์นั้น เกิดขึ้น ในคืนหนึ่ง 
เป็นคืนซึ่ง เดือนดับ ลาลับหาย 
ช่วงตีสาม ทุกคน หลับสบาย 
มีผู้ร้าย เข้าอาราม ยามราตรี
มันจี้พระ จับแขนไพล่ ให้นอนราบ 
โดยไม่ทราบ ชะตากรรม ทำเช่นนี้ 
สามเณร เด็กวัดแย่ พร้อมแม่ชี 
คนอัปรีย์ จี้ให้ยอม พร้อมลั่นไกฯ
เสียงปืนดัง ลั่นวัด สุดปัดป้อง 
เลือดก็นอง เนืองพื้น คืนหลับใหล 
เสียงระงม ขอชีวิต หวิดขาดใจ 
มันไม่ได้ ใส่จิต คิดเอ็นดู
ยิงจนครบ สงบนิ่ง หมดสิ้นเสียง 
ทิ้งไว้เพียง ความมืดมิด จิตหดหู่ 
ร่างทุกร่าง ปราศวิญญ์ สิ้นคนดู 
เช้าถึงรู้ โยมวัดมา น้ำตานอง
โอ้วัดพรหรม- คุณาราม ถึงยามเศร้า 
ไร้แม้เงา พระโยม ได้หม่นหมอง 
เหลือเพียงร่าง รอยกระเสือก เลือดเป็นกอง 
ความขัดข้อง หมองไหม้ ได้มาเยือน
แสนอาลัย พระธรรมทูต ชุดประกาศฯ 
ที่ถูกฆาต มรณา หาใครเหมือน 
ทั้งหกรูป เจอเคราะห์ใหญ่ ไร้สิ่งเตือน 
ต้องทิ้งเพื่อน แลโยมญาติ จำจากลา
ยอมจากบ้าน ประเทศไทย วิไลเขต 
มาประเทศ เมืองผู้ดี มิกังขา 
มาต่อสู้ ประกาศธรรม พระสัมมาฯ 
อนิจจา โดนฆ่าตาย ทำได้ลง
สามเณร แม่ชี และเด็กวัด 
ผู้ปฏิบัติ ความดีงาม ตามพระสงฆ์ 
ต้องมาปลิด ชีพม้วย อย่างงวยงง 
เหล่าพระสงฆ์ โยมญาติ ปราชญ์อาลัย
โดยเฉพาะ วัดพรหม- คุณาราม 
ได้ติดตาม ทำบุญ ทุกสมัย 
เพื่ออุทิศ บุญสืบสาน ทานมัย 
พร้อมได้ให้ ชื่อวันนี้ อย่างดีงาม
นั่นก็คือ "วันบุญญา มหารำลึก" 
เพื่อน้อมนึก มรชน คนสยาม 
ผู้เคราะห์ร้าย ในครั้งนี้ ทุกปียาม 
ทำบุญตาม ส่งให้ จงไปดี
ขอเชิญชวน ทุกท่าน ที่่อ่านกลอน 
จงอาวรณ์ ถึงกัน ในวันนี้ 
ไปร่วมงาน ที่วัดพรหมฯ กันอีกปี 
บอกอีกที อริโซน่า สิงหาเอย

กลอนที่แต่งนี้ ส่่วนหนึ่งเป็นสมมุติฐาน แต่สิ่งที่มั่นใจ แน่ใจก็คือ ทุกคนถูกฆ่าทั้งหมด เจตนาที่แต่งกลอนนี้ ก็เพื่อระลึกถึงผู้จากไป และแต่งเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้จากไป ขอให้ทุกดวงวิญญาณจงไปสู่สุคติ
ตาบอดคลำช้าง
ด็กขอทาน สองคน ขัดสนหนัก 
เป็นเพื่อนรัก ร่วมใจ ได้ประสาน 
เด็กคนหนึ่ง ตาบอดหนอ จะขอทาน 
มาประสาน ให้เพื่อนหม่ำ ทำทุกวัน
อยู่ต่อมา เพื่อนตาบอด จอดหยุดขอ 
โรคเกิดก่อ ป่วยกาย ไม่สุขสันต์ 
เพื่อนตาดี บอกเพื่อนว่า จะขอทาน 
จะประสาน จะเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่เอง
เด็กตาดี มีคนให้ ได้อาหาร 
เขาให้ทาน เลิศรส อย่างสุดเจ๋ง 
เพื่อนตาดี ทำสับปรับ กลับกินเอง 
มาบรรเลง บอกขนมดี ที่ตนกิน
เพื่อนตาบอด ได้ฟัง บอกช่างเถิด 
รสจะเลิศ อย่างไร ใยถวิล 
เจ้าจงบอก ลักษณะ ก่อนจะกิน 
ก่อนถึงลิ้น ขนมเด่น เป็นเช่นไร
เพื่อนตาดี บอกขนมดี มีสีขาว 
นุ่มสะกาว หวานรส สีสดใส 
เพื่อนตาบอด จึงกล่าว ขาวอย่าไร 
จงช่วยไข ปัญหา ให้ข้าที
มีวันหนึ่ง เพื่อนตาดี จะชี้ยก 
ได้จับนก กะเรียนขาว เพื่อเอาสี 
ไม่แชเชือน ให้เพื่อนจับ นับหลายที 
บอกว่านี้ สีขาว เจ้ารู้ยัง
เพื่อนตาบอด เอามือลูบ นกกะเรียน 
บอกไม่เพื้ยน สีขาวเนียน เหมือนมีหลัง 
สิ่งนิ่มนุ่ม คือสีขาว เราชอบจัง 
เราสมหวัง เพิ่งรู้สี ที่เจ้ากิน
มีคราวหนึ่ง เพื่อนตาดี มีความติด 
ได้พามิตร คิดให้ศึกษ์ นึกถวิล 
ได้พาเพื่อน มาคลำช้าง สร้างภาพจินต์ 
เพื่อนคลำสิ้น ช้างหลายจุด พร้อมพูดจา
คลำที่หาง บอกว่าช้าง เป็นเส้นยาว 
คลำที่เท้า เอามือลูบ ทุบที่ขา 
บอกว่าช้าง เป็นลำเลา เหมือนเสานา 
เพิ่งรู้ว่า ช้างตัวเด่น เช่นนี้เอง

 สงกรานต์พยากรณ์
............

นางสงกรานต์ ปีนี้ มีชื่อว่า 
นางโครา- คะเทวี ท่านขี่เสือ
ทัดดอกปีบ บุปผา สะกาว์เครือ
พร้อมใส่เสื้อ ภูษา มุกดางาม
ส่วนมือขวา ถือดาบยาว เป็นเงาวับ
มือซ้ายจับ ไม้เท้า ยาวล้นหลาม
กินน้ำมัน เป็นอาหาร ทุกวันยาม
ท่านตีความ ปริศนา ไว้น่าฟัง
ปริศนา นางสงกรานต์ ท่านว่าไว้
ผู้เป็นใหญ่ เรืองอำนาจ มาดบ้าครั่ง
พร้อมจะเกิด กรียุค สุขภินท์พัง
จะตกงาน ข้าวหมากแพง แข่งกันจน
ในสังคม คนจะเก่ง เร่งวิกฤติ
จะขาดมิตร ที่ไว้ใจ ให้สับสน
ไม่เชื่อถือ คำสอน ร้อนกมล
ภูมิดล อัคคีไหม้ ไฟลุกลาม
ธรรมชาติ จะเรียกร้อง พร้อมอุบัติ
สารพัด อุบัติเหตุ ทุกเขตขาม
หากต้องการ ชีวิต จิตงดงาม
จงทำตาม คำสอนศาสน์ พระศาสดา
หนึ่งถือศีล แปดห้า หยุดบ้าคลั่ง
พร้อมกับนั่ง กรรมฐาน กันเถิดหนา
อีกสวดมนต์ สงบจิต ทุกทิวา
ทำบุญญา บารมีไว้ ดูใจตน
หากทำได้ เช่นนี้ ดังที่ว่า
จะนำพา ชีวิตไป ไม่สับสน
จะรอดพ้น วิกฤติใหญ่ ในบัดดล
จะส่งผล ให้สุขสันต์ นิรันดร
......................................


ประชุมสมัชชาฯที่วัดมงคลแทมป้า
............


วันที่สิบเจ็ด พฤษภา ปีห้าศูนย์
วันเพิ่มพูน วันก่อ ทอกุศล
วันชุมนุม ศรัทธา สาธุชน
วันนิมนต์ อภิวาท์ สาธุการ (อภิวาท์ = อ่านว่า อะพิวา)
เป็นวันดี วันเลิศ ก่อเกิดผล
วัดมงคลฯ แทมป้า พาประสาน
พร้อมญาติโยม ทุกฝ่าย ได้จัดงาน
ทวิการณ์ งานสองส่วน ล้วนเป็นบุญ
หนึ่งประชุม สมัชชาฯ หน้าที่สงฆ์
ผู้ดำรงค์ พุทธธรรม นำอุดหนุน
ธรรมทูต ต่างประเทศ เจตน์จำรูญ
มาเพิ่มพูน ประชุมธรรม ประจำปี
งานที่สอง ของวัด จัดต่อเนื่อง
ก็คือเรื่อง ของพระ พัทธสีม์ (พัทธสีม์ อ่านว่า พัดทะสี)
งานฝังลูก นิมิตเทศ เขตทำดี
วินัยมี กำหนดไว้ ให้สงฆ์ทำ
ก่อนถึงงาน สี่วัน นั้นคึกคัก
พระต่างวัด บินมา อย่างคราคร่ำ
ส่วนพระโยม ก็อบอุ่น ต่างหนุนนำ
ทั้งข้าวน้ำ ที่พัก จัดรับรอง

บ้างไปรับ สนามบิน ถิ่นเครื่องจอด
บ้างจัดบอร์ด ของวัด ไม่ขัดข้อง
บ้างจัดโต๊ะ จัดเก้าอี้ ที่รับรอง
บ้างจัดของ สารพัน ก่อนวันงาน
บ้างดูดฝุ่น เตรียมจานถ้วย ด้วยมานะ
เตรียมรับพระ ต่างรัฐ วัดผสาน
เตรียมโรงครัว เตรียมHallใหญ่ ไว้ใช้งาน
เตรียมถวาย เอกสาร งานCD
เตรียมผูกผ้า ประดับ พับเป็นชั้น
ต่างช่วยกัน ทุกฝ่าย ให้พิถี
งานน้อยใหญ่ ได้เผด็จ สำเร็จดี
พระมากมี โยมมากมาย ได้ร่วมงาน
งานน้อยใหญ่ ที่หลวงตา แทมป้าจัด
ได้สะพัด วัดมงคล ฯ คนกล่าวขาน
ต่างตะลึง ทึ่งทรุด สุดตระการ
คืนวันผ่าน งานกุศล มีคนชม
พระวิเทศ สุตคุณ ทุ่มทุนจัด
ให้งานวัด ได้ชุ่มช่ำ ทำได้สม
เปรียบน้ำทิพย์ แห่งสัคคา มาพร่างพรม
เพราะได้บ่ม ทาน/กุศล วิมลธรรม
ได้บำเพ็ญ สาราณีย์ ที่รำลึก
มาตรองตรึก ถึงหน้าที่ ที่สุขสัมม์
มุ่งปลูกฝัง สั่งสมทุน เกื้อหนุนนำ
กระชับธรรม คารวะ สามัคคี
หลวงตาใคร่ ได้กระทำ สิ่งล้ำเลิศ
ก่อให้เกิด สรธรรม นำสุขี
เป็นมรรคา ทางดำเนิน เพิ่มความดี
เป็นศักดิ์ศรี แก่ศาสน์/วัด ขจัดภัย
ได้สร้างโบสถ์ กุฏิ ที่พักสงฆ์
หมายดำรง อนุสรณ์ บ่อนสุกใส
ได้บำเพ็ญ วิหารธรรม นำสุขใจ
แก่เวไนย ใต้ร่มศาสน์ พระศาสดา
ท่านได้ฝาก ผลงาน ชั้นปฐม
เป็นบรม งานเอก วิเศษกล้า
อนุชน รุ่นหลัง ยังตรึงตรา
น้อมนำพา ศรัทธามั่น นิรันตร์ดร.............

ประชุมสมัชชาฯที่วัดพรหมฯ
............


การประชุม สมัชชาฯ วิสามัญ
ประชุมกัน ที่วัดพรหมฯ สมศักดิ์ศรี
เพราะทางวัด นัดพบพา มาทุกปี
จัดให้มี ประชุมพระ- ทูตะไทย
ปีห้าหนึ่ง ซึ่งจัด นัดพิเศษ
วัดวิเทศ พรหมคุณา พาสดใส
ธรรมทูต หลายหลาก จากแดนไกล
ต่างหลั่งไหล ไปประชุม อุ่นดวงมาลย์
วันที่สิบหก สิงหาคม อุดมฤกษ์
เป็นนัดเปิด สัมมนา พาประสาน
ร่วมประชุม สหธรรมิก จิตชื่นบาน
นับเป็นงาน ที่ผ่องผุด ธรรมทูตไทย
เพราะได้มา กระชับ สามัคคี
เพิ่มศักดิ์ศรี พระธรรมทูต วิสุทธิ์ใส
มาระดม แนวความคิด ในจิตใจ
ร่วมประสาน งานทูตไทย ให้ก้าวเดิน
มาหาลือ ปรึกษา ทูตะกิจ
กระชับมิตร ร่วมอุดมการณ์ งานเฉลิม
มาติดตาม ผลงาน สร้างต่อเติม
มาก่อเพิ่ม อปริหา- ณิยาธรรม
มารวมกาย ร่วมจิต ร่วมคิดสร้าง
สร้างหนทาง ธรรมทูตไทย ให้สุขสัมม์
ร่วมก่อร่าง สร้างชื่อเสียง เสบียงธรรม
และพร้อมนำ สู่สายตา มหาชน
ให้ผลงาน ธรรมทูต นั้นรุดหน้า
ให้โลกา พอใจ ไม่ฉงน
อุดมการณ์ น่ายกย่อง ครองใจคน
ให้ภูมิดล ทึ่งทรุด ธรรมทูตไทย
กรรมการ สมัชชา ทำหน้าที่
เพิ่มทวี เตรียมรุก ทุกสมัย
เป็นทัพหน้า ชี้นำ ธรรมเกริกไกร
เป็นหลักใจ พระธรรมทูต เร่งรุดตาม
การประชุม ที่ผ่านมา สง่ายิ่ง
เป็นเรื่องจริง หลวงตาชี มีสุขศานติ์
กล่าวยกย่อง ถูกใจ ในกลางงาน
บอกประสาน กันดีเยี่ยม เปี่ยมเปรมปรีดิ์
ถึงมีบ้าง แนวคิด จิตกระทบ
ก็สยบ ด้วยเหตุผล วิมลศรี
เห็นจุดต่าง สานจุดร่วม รวมความดี
เป็นเอกี ธรรมเอก วิเศษเอย
.........................................................

ดูบรรยากาศการประชุมที่เหลือทั้งหมดได้ที่ลิงค์นี้
http://thaitemple.iirt.net/?name=webboard&file=read&id=64 

วันวาเลนไทม์
............


อันสิบสี่ กุมภาฯ วันวาเลนไทน์
พระขอให้ คำสอน ป้อนอีกหน
อันความรัก ที่สุกใส ในใจคน
หากไม่หม่น หมองไหม้ ย่อมได้คุณ
จงรักษา ความเปโม ให้โก้หรู
ให้คงอยู่ อย่างเรืองรอง พ้องอุดหนุน
ให้แจ่มใส ให้ชุ่มเย็น เช่นใบบุญ
พร้อมทุ่มทุน อุ่นเจิดจ้่า เอื้ออาทร
อันความรัก มีหลากหลาย ให้รู้จัก
เช่นความรัก พุทธศาสน์ ศาสด์คำสอน
ขอชาวพุทธ จงรักษา เอื้ออาทร
ให้สลอน และสลวย ช่วยดูแล
อย่างที่สอง รักพ่อแม่ แน่หนักหนา
จงรักษา น้ำใจท่าน พลันแยแส
อย่าห่างเหิน ท่านทั้งสอง ต้องเท็กแคร์
ต้องดูแล ทั้งกายใจ ให้ท่านดู
อย่างที่สอง รักคุณครู และอาจารย์
ลูกศิษย์นั้น ร่วมกันช่วย ให้สวยหรู
ตั้งใจเรียน เพียรศึกษา เข้าหาครู
และตั้งอยู่ ในคำสอน ยอมพากเพียร
รักเพื่อนฝูง ต้องอำนวย ช่วยเกลอมิตร
รักษาจิต กันแลกัน นั้นอย่าเพื้ยน
หากอยู่ช่วง ที่สดใส วัยนักเรียน
จงพากเพียร เร่งศึกษา วิชาการ
จงห่างไกล ยาเสพย์ติด ชีวิตปลอด
สร้างทางรอด ร่วมกัน นั้นอาจหาญ
จงรักษา ชีวิต จิตชื่นบาน
ให้คืนวัน สุดหรู คู่วัยเยาว์
รักประเทศ ดับเภท์ภัย ได้สติ
อย่าดำริ แตกสามัคคี ที่อับเฉา
ให้อภัย ตั้งใจทำ หน้าที่เรา
อย่าได้เอา แพ้ชนะ เที่ยวระราน
รักพุทธศาสน์ โอวาทพุทธ พิสุทธิ์ล้ำ
จงเร่งทำ ทานศีล กรรมฐาน
ละความชั่ว ทำดี มีให้กัน
จะถึงวัน แห่งความรัก ชะงัดแล

ขอบคุณแคมป์สน
............


ขอขอบคุณโยมแคมป์สน       ที่ทุกคนมีน้ำใจ
ญาติโยมทั้งหญิงชาย            ได้ถวายการดูแล
อาหารทุกอย่างสรรพ              คณานับโยมเผื่อแผ่
น้ำปานะโยมก็แฟร์                  มาดูแลอยู่ทุกวัน
 
ธรรมทูตทุกรูปปลื้ม               เมื่อได้ดื่มและได้ฉัน
 
ตั้งใจอบรมกัน                       พลันให้จบครบตามกาล
ตอนนี้อภิรมย์                         การอบรมอวสาน
นวกรรมก็งดงาม                     กรรมฐานก็สมบูรณ์
จะเสร็จสำเร็จได้                     แคมป์สนให้การอุดหนุน
ธรรมทูตขอขอบคุณ                      ไออุ่นนี้จะจดจำ
อวยพรโยมแคมป์สน                  ทุกทุกคนอย่าระกำ
ปราศทุกข์สุขหนุนนำ                 พร้อมพระธรรมจงรักษา
แคล้วคลาดสรรพภัย                     ความจัญไรอย่ามีมา
 
เป็นกำลังหนุนนำพา                    ศาสนารุ่งเรืองเทอญ..
 แต่งในคราวไปอบรมพระธรรมทูต ปี ๔๙ รุ่นที่ ๑๒ วันอบรมเสร็จ

" ลาก่อนแคมป์สน "

วันที่ยี่สิบ เมษา ขอลาแล้ว
เหลือเพียงแนว ความทรงจำ ไว้พร่ำหา
สองเดือนจบ ครบวัน อยู่กันมา
พอถึงครา จากไป ใจอาวรณ์
ลาญาติโยม ที่เฝ้า เอาใจใส่
ลาอาจารย์ ที่ห่วงใย ให้คำสอน
พระธรรมทูต ไปละหนา ขอลาจร
ลาเสื่อหมอน บ่อนรัก ที่พักใจ
ลาที่ฉัน หอคัมภีร์ ที่โอ่อ่า
ลาศาลา ทำวัตรเสียง สำเนียงใส
ลาจั๊กกระจั่น ที่ร้อง ก้องพงไพร
ลาสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ในพนา
ลาวิญญาณ ป่าสน คนเล่าขาน
ลาวันวาน ที่ให้ อาลัยหา
ลาสายฝน ที่พรมพร่ำ ฉ่ำอุรา
ลาฟากฟ้า ไอดิน ถิ่นสมบูรณ์
ลาต้นสน ที่เรียงราย สุดปลายฟ้า
ลาเทวา สิ่งศักดิ์สัทธิ์ สถิตศูนย์
ลาทรัพยากรณ์ บ่อนอุดม และสมบูรณ์
ขอลาศูนย์ พัฒนาศาสน์ ขอจากลา
ลารูปเหมือน อาจารย์พร รัตนสุวรรณ
ผู้สร้างสรร สร้างปราชญ์ พระศาสนา
ผู้บุกเบิก แคมป์สน ตลอดมา
ลาพฤกษา ลดาวัลย์ จำจากจร
ลากุฏิ นวกรรม ร่วมกันสร้าง
ลาเส้นทาง สร้างพระ อนุสรณ์
ก่อนจากไป หวนให้ ใจอาวรณ์
ทอนหายใจ เหนื่อยอ่อน ก่อนจากกัน
ถ้าไปแล้ว ตั้งใจ ไม่ไปลับ
แล้วจะกลับ ตามสัญญา มาสร้างสรร
พระธรรมทูต ทุกรูป อย่าลืมกัน
ขอจงหมั่น มาแวะวน แคมป์สนเอย.....

"อาลัยแคมป์สน"
............

แคมป์นจ๋า ปวงข้า ขอลาก่อน
เพราะต้องจร ทำให้สุด จุดมุ่งหมาย
อยู่สองเดือน เสมือนมิตร ใกล้ชิดกาย
จะอาลัย แคมป์สนอยู่ มิรู้เลือน
แคมป์สนให้ อะไร หลายหลายอย่าง
ให้เส้นทาง อันสดใส ใครจะเหมือน
ให้อาหาร การขบฉัน ให้คำเตือน
ให้อบอุ่น เสมือน เพื่อนรู้ใจ
แคมป์สนให้ เสื่อหมอน บ่อนที่พัก
ให้ความรัก ภักดี ที่สดใส
ให้อากาศ ให้น้ำ เย็นฉ่ำใจ
ให้วินัย ความรู้ มนูชน
ให้โยมดี ที่คอยเฝ้า เอาใจใส่
ให้ความชื้น แก่จิตใจ ให้สายฝน
ให้เจ้าหน้าที่ ที่ขยัน กันทุกคน
ให้สายชล ที่สวยเด่น เป็นลำธาร
ให้ระบบ นิเวศน์ไพร สมใจคิด
ให้จิ้งหรีด ร้องเรียง เสียงประสาน
ให้จั๊กกระจั่น ปั่นเสียงร้อง ก้องกังวาน
ให้เขียดปาด ร้องขับขาน กังวานไพร
ให้วิหค นกหวน ครวญเพลงขับ
สุดจะนับ สรรพสำเนียง เสียงขานไข
ให้เถาวัลย์ พันธุ์เฟิร์น ดูเพลินใจ
ให้แมกไม้ เบญจะ นานาพันธุ์
ให้ต้นสน เรียงราย สุดปลายฟ้า
ดูสง่า เหมือนเทพ มาเสกสรร
ให้ดอกไม้ ให้ต้นหญ้า ลดาวัลย์
ให้ฤดู ที่พลิกผัน สุดบรรยาย
แคมป์สนจ๋า พระธรรมทูต ขอลาแล้ว
เหลือเพียงแนว ภาพเก่า เล่าความหมาย
จะจดจำ แคมป์สน จนวันตาย
ชีพไม่วาย คิดถึงอยู่ มิรู้ลืม
แต่งในคราวไปอบรมพระธรรมทูต ปี ๔๙ รุ่นที่ ๑๒ วันอบรมเสร็จ


"อบรมภาควิชาการ"
............

เร้ากี่เร่งเล่าเรียน กี่พากกี่เพียร
กี่หยดกี่หมึกปากกา กี่เล่นกี่ล่ำตำรา กี่วันเวลา
กี่ร้อนกี่หนาวกี่ทน กี่ค่ำกี่ดึกฝึกฝน
อาจารย์กี่คน กี่เหน็ดกี่เหนื่อยรายงาน
กี่พร่ำคำสอนอาจารย์ กี่สบพบพาน
กี่ชอบกี่ชังคำชม กี่หนึ่งกี่เดียวเกลียวกลม
กี่คำกี่คม จะยากอย่างไรฝึกฝน
เพื่อปัญญาชน แต่งแต้มสีสันชีวิต
อยากเป็นเฉกเช่นบัณฑิต จึงยอมอุทิศ
ละสุขทุกข์สู้ฝ่าฟัน วันจบมาเยือนเหมือนฝัน
ดุจหนึ่งพระจันทร์ ปราศเมฆมืดมิดปิดบัง
ยิ้มรับรื่นรมย์สมหวัง ขอเป็นเช่นดัง
ดาวน้อยส่องแสงวับวาว...

แต่งในคราวไปอบรมพระธรรมทูต ปี ๔๙ รุ่นที่ ๑๒ วันอบรมเสร็จ



"อบรมภาคจิตภาวนา"
............

ภาคสาธาร- ณูปการ ผ่านเสร็จสิ้น 
เข้าสู่ถิ่น กรรมฐาน ด่านสุดหิน
หอบเสื่อหมอน นอนในกลด ซบบนดิน
กำหนดสิ้น จิตรู้ อยู่พงไพร
อยู่ในกลด พักแรม กลางแคมป์สน
อยู่ปะปน แมลง/มด จิตสดใส
จั๊กกระจั่น จิ้งหรีด หวีดเรไร
สัตว์น้อยใหญ่ ร้องเซ็งแซ่ แผ่ลำคอ
คราจะยืน ต้องกำหนด ถึงมดจะไต่
คราจะไป ต้องใจจด กำหนดหนอ
คราจะนั่ง กำหนดจิต สติคลอ
พองยุบหนอ เป็นเพื่อน ไม่เชือนแช
คราจะนอน ต้องเล็ง เพ่งหน้าท้อง
ให้เห็นพอง เห็นยุบยิบ จิตแน่วแน่
มีสติ ทุกคืนวัน ไม่ผันแปร
สาตัจจะฯ เผื่อแผ่ กระแสจินต์
อินทรีย- สังวรศีล คือถิ่นพัก
มุ่งตระหนัก ปาริสุทธิ์ วิมุติถวิล
ปาฏิโมกข์ สังวรระวัง ไม่พังภินท์
จวบจนสิ้น ปิดฉาก ภาคจิตภาวนา

แต่งในคราวไปอบรมพระธรรมทูต ปี ๔๙ รุ่นที่ ๑๒ วันอบรมเสร็จ

 "อบรมภาคก่อสร้าง"
............

สาธาร- ณูปการ งานสร้างฝัน
มุ่งฝ่าฟัน งานก่อ ทอกุศล
นวกรรม สืบสาน งานสร้างคน
ธรรมทูต ฝึกฝน จนชำนาญ
ขุดหลุมเสา เอาขันติ อิทธิบาท
เหงื่อไคลราด อาบกาย ใจประสาน
ผลัดกันขุด ผลัดกันช่วย ไม่ป่วยการ
คืนวันผ่าน ประสานรัก สามัคคี
ยกโครงเสา เอาปูนชง เทลงทับ
ช่วยกันรับ เทคาน งานพิถีฯ
บ้างยกท่อ ก่ออิฐ มิตรไมตรี
เผยวจี นิยธรรม นำสุขใจ
มุ่งตัดเหล็ก ยกเหล็ก เช็คละเอียด
ถึงจะเครียด ยังยิ้มร่า หน้าสดใส
ผสมปูน ฉาบปูน ทุ่มแรงใจ
บ้างติดไฟ สวนหย่อม พร้อมใช้งาน
ตีไม้แบบ แนบบรรทัด วัดลูกดิ่ง
ไม่อยู่นิ่ง รวมกาย ใจสมาน
แบ่งเป็นฝ่าย ประสาน การทำงาน
เดินกันพล่าน เพราะงานเร่ง ตัวเกร็งเกลียว
บางรูปเจ็บ ตอนทำงาน สื่อกันพลาด
บางรูปคลาด ถลำ ทำหวาดเสียว
บางรูปตอก ตะปู ทู่เป็นเกลียว
ได้เพียวเพียว ประสบการณ์ กันทุกคน
วันที่ยี่สิบ วันสุดท้าย ก็มาถึง
เป็นวันซึ่ง พวกพ้อง ต้องเจอฝน
ทั้งหนาวเหน็บ เก็บภาระ สาละวน
ทั้งเปียกฝน ปนงานค้าง ต่างวุ่นวาย
มุงหลังคา ติดฝ้า พร้อมทาสี
ต่างเร็วรี่ กันสุดสุด รุดขวนขวาย
ทั้งปูพื้น ฉาบปูน กันวุ่นวาย
ติดประตู บานเกร็ดใส ให้เป็นเงา
ส่วนงานป้าย แกะไม้ เป็นอักษร
ทั้งใช้ค้อน เหล็กแคะ แกะเฉลา
แล้วทาสี หลายชั้น เป็นมันเงา
ช่วยกันยก ขึ้นสู่เสา สวยเข้าที
เลขสิบสอง เป็นรูปพระ นั่งขัดสมาธิ์
ดูองอาจ มาดสงบ พบสุขี
รูปใบโพธิ์ ขนาดหลัง นั่งเอกี
พร้อมลงสี น้ำเงิน ดูเพลินใจ
ยี่สิบเอ็ด ตีสาม งานเสร็จสิ้น
ทุกคนยิ้ม เข่าทรุด ถึงจุดหมาย
กว่าจะเสร็จ ทุกอย่างหนอ ก็เกือบตาย
ได้ถวาย เจ้าคุณราชฯ ปราชญ์ของเรา
เหงื่อไหลหยด รดพื้นดิน ถิ่นแคมป์สน
บางครั้งฝน บางครั้งแดด ก็แผดเผา
บางครั้งท้อ พอประทัง นั่งซบเซา
บางครั้งเหงา นอนคอพับ หลับไม่ลง
กุฏิสงฆ์ ทรงไทย สำเร็จสิ้น
สมถวิล รุ่นสิบสอง ต้องประสงค์
มีโลโก้ ทองอร่าม ตามจำนงค์
จุดสร้างบรรจง ดำรงไว้ ใกล้วารี


ตั้งสวยหรู ดูตระหง่านกลางแคมป์สน
ให้ทุกคน ได้เห็น เป็นศักดิ์ศรี
ธรรมทูต รุ่นสิบสอง ส่องความดี
เป็นสาราณีย์ ธรรมทูต ชุดของเรา
แต่งในคราวไปอบรมพระธรรมทูต ปี ๔๙ รุ่นที่ ๑๒ วันอบรมเสร็จ


" แด่เพื่อนพระธรรมทูต"

ร่วมกันก่อ ถ่อพาย สู่ปลายฝัน
ร่วมฝ่าฟัน ร่วมเผื่อแผ่ ร่วมแก้ไข
ถึงเวลา ที่ต้องร้าง ห่างกันไกล
แสนอาลัย เพื่อนธรรมทูต สุดบรรยาย
จงจดจำ ความดี ที่ร่วมสร้าง
จงเดินทาง ให้ลุ ถึงจุดหมาย
จงทำฝัน ที่เลอเลิศ เฉิดไฉไล
ฝากผลงาน ทิ้งไว้ ในโลกา
อย่าลืมเลือน เพื่อนเพื่อนเรา เฝ้าอบอุ่น
เพื่อนร่วมรุ่น ของเรา เฝ้าห่วงหา
อย่าลืมคำ ปฏิญาณ ที่ผ่านมา
รุ่นสิบสอง ขอกล่าวลา คราจากกัน
ต่อไปนี้ ไม่มี พวกเราแล้ว
เหลือเพียงแนว ความดี ที่ร่วมฝัน
ขอจงรัก ภักดี มีให้กัน
และจงหมั่น มาแวะวน แคมป์สนเอย

กุฏิอนุสรณ์รุ่น"

ยี่สิบวัน พลันเสร็จ เผด็จสาน
นวกรรม สถาน งานสุขี
ชื่อกุฏิ พระราช รัตนโมลี
ผู้เป็นศรี มหาจุฬาฯ วิทยาลัย

สร้าง สำเร็จ สวยเฉลา ดูเข้าชุด
พระธรรมทูต รุ่นสิบสอง จิตผ่องใส
ต่างสาธุ มุทิตา พาชื่นใจ
น้อมถวาย กุฏิสงฆ์ ผู้ทรงธรรม

นวกรร- มานุสรณ์ บ่อนพักจิต
ของเหล่ามิตร เพื่อนธรรมทูต บุตรพระสัมม์
รุ่นสิบสอง ของเรา เฝ้าหนุนนำ
ประกาศธรรม ของจอมปราชญ์ พระศาสดา

อยู่ต่างวัด ต่างประเทศ ต่างเขตขัณฑ์
คืนและวัน ผ่านไป ได้โหยหา
นวกรรม ที่แผ้วถาง สร้างกันมา
ประทับตรา แทนร่าง ที่ห่างกัน




" กลอนประจำรุ่น พระธรรมทูต
สายต่างประเทศ รุ่นที่ ๑๒".

พระ- ประกาศ สัจจธรรม คำพระพุทธ
ธรรม- พิสุทธิ์ พุทธองค์ ทรงเลื่อมใส
ทูต- แห่งธรรม ชีทาง สว่างไกล
สาย- สัมพันธ์ เชื่อใจ เวไนยชน
ต่างประเทศ- ต่างชั้น ต่างวรรณะ
รุ่น- นี้พระ แปดสิบ ไม่สับสน
สิบ- ปากว่า ไม่เท่า มาเห็นด้วยตน
สอง- เฉลิมชน ครองราชย์ หกสิบปี

 " หนังสือรุ่นสำคัญอย่างไร?"

หนังสือรุ่น อุ่นใจ เมื่อได้เห็น
เพราะมันเป็น หนังสือ สื่อความหมาย
อนุสรณ์ หนังสือ สื่อรวมใจ
วันเวลา ผ่านไป ได้เปิด





โลโก้รุ่น ๑๒ "

เลขสิบสอง เป็นรูปพระ นั่งขัดสมาธิ์
ดูองอาจ มาดสงบ พบสุขี
รูปใบโพธิ์ ขนาดหลัง นั่งเอกี
พร้อมลงสี น้ำเงิน ดูเพลินใจ




"วิทยุสมัชชาสงฆ์ไทย"
สมัชชา- สงฆ์ไทย ได้เป็นห่วง
จึงมีช่วง เปิดเวลา มาอุดหนุน
น้อมนำพา เสียงธรรม คอยค้ำจุน
เพื่อเพิ่มพูน นิยยาธรรม นำปัญญา

เป็นธัมโม- โลยี ที่อยากมอบ
กอปรกิจชอบ พิสุทธิ์ พุทธศาสนา
เป็นช่องทาง พระสงฆ์ สมัชชาฯ
จะได้มา พบปะ มอบพระธรรม


เป็นช่องทาง ประกาศธรรม นำเผยแผ่
มอบให้แน่ แด่ผู้ฟัง กันล้นหลาม
ทุกมุมโลก ฟังได้ ไร้เขตยาม
เน็ตเชื่อมตาม ธรรมเชื่อมใจ ให้ได้ฟัง


เป็นธรรมะ ทูโก โชว์บนเน็ต
เหมือนเก็บเพชร ธรรมวาวแวว แนวสุขัง
มาประดับ อินเตอร์เน็ต เผ็จพลัง
เป็นช่องทาง กระแสธรรม นำไทยชน

เป็นกระแส ฝ่ายดี ที่กระชาก
ให้ออกจาก สิ่งเศร้าหมอง คลองฝึกฝน
ถึงไม่เทศน์ บนธรรมาสน์ เอกอาตม์องค์
เจตน์จำนงค์ ประสงค์ให้ โยมได้บุญ




พร้อมกุศล แห่งการฟัง นั้นยอดเยี่ยม
สุดเต็มเปี่ยม สัพพธรรม นำอุดหนุน
เป็นของขวัญ สมัชชา มาเพิ่มพูน
ดั่งพิรุณ หยาดฟ้า มาพร่างพรม


ขอญาติโยม มารับฟัง ทุกวันมื้อ
เพราะนี่คือ ที่พักใจ ให้เกิดผล
ทำงานไป ฟังไป ได้มงคล
ชื่นกมล ผลงานดี มีสุขใจ


หากเปิดเว็บ สมัชชา มาบนคอมฯ
เหมือนได้น้อม วัดประชิด จิตสดใส
เหมือนอิงแอบ แนบธรรม นำสุขใจ
อยู่แห่งไหน ก็นิรทุกข์ สุขพร้อมกัน
......................................................

""สุดhotถึงจอดก็ยังไป""
............

สดูวีดิโอได้ที่นี่
http://board.palungjit.com/showthread.php?t=170425


มีหนุ่มหนึ่งซ้อน มอเตอร์ไซค์
รีบเร่งรุดสุดทันใจ ขาดดิ้น
ควบหญิงสาวพราวหน้าใส ไปด้วย สองคน
อุบัติเหตุตามปลิดชีพสิ้น คลาดแคล้ว ถึงงาน
..................................
อีกอย่างหนึ่ง
................................

รีบสุดรุดเร่งเร้า ทันงาน
เลยถูกรถบดประสาน เสยให้
ร่างผมถูกกระชากวิญญาณ ด่าวดิ้น ชีพดับ
เมื่อดูวีดิโอนี้แล้วไซร้ สติใคร่ พิจารณา

ผีเหล้าสิ่งเสพย์ติด การพนัน
ยิ่งน่ากลัวกว่ากัน จงรู้
หากติดหมดสุขสันต์ สวรรค์ล่ม เลยนา
กอปรกิจสติคู่ ควบไว้ ทันเสมอ

""น้ำตาควาย""
............

ฉันเหม่อมอง จ้องหา เพื่อนข้าเอ๋ย
ที่ร่วมเคย เทียมเกวียน เพื่อนคันไถ
หลายตัวแล้ว ที่ห่างหาย ย้ายจากไป
สู่เมืองใหญ่ ไร้เงา เจ้าไม่มา
วันจากไป เพื่อนตัวหนึ่ง ซึ่งจำได้
เจ้าถูกไส ให้ขึ้นรถ ให้ขดขา
เขาเอาไม้ สอดยัดเยียด เบียดบาทา
เห็นนัยน์ตา ของเพื่อนนั้น น้ำตาคลอ
รถเขยื้อน เพื่อนขยับ คอพับเอี้ยว
พร้อมกลับเหลียว มองมา หาฉันหนอ
เขาเอาไม้ ตีขนาบ ทับทาบคอ
จากนั้นก็ รีบขับเคลื่อน นำเพื่อนไป
หลายเดือนแล้ว เพื่อนจากไป ให้ครุ่นคิด
ถึงเกลอมิตร ร่วมไร่นา ท้องฟ้าใส
เขาเอาเพื่อน ฉันนี้ ไปที่ใด
ฉันร่ำให้ ถึงเพื่อนอยู่ มิรู้คลาย
เมื่อก่อนนี้ เพื่อนนั้นยอม พร้อมกันสู้
แต่ตอนนี้ เพื่อนไม่รู้ อยู่หนไหน
ทิ้งให้เรา สุดเหงา เศร้าอาลัย
ทิ้งคันไถ ไร่นา ไม่มาเยือน
แต่ก่อนนี้ ท้องนา ควายคราคร่ำ
ช่วยกันทำ นายิ่งใหญ่ หาใครเหมือน
แต่ตอนนี้ ฤดีร้าง ใจลางเลื่อน
ฉันรอเพื่อน เตือนปีลับ ไม่กลับมา
โอ้เพื่อนจ๋า อยู่ไหน ใจเหงาหงอย
เราจะคอย เพื่อนอย่าลับ กลับมาหา
จงมาสู่ ห้วยหนอง ท้องทุ่งนา
วันเวลา ผ่านไป ได้แต่คอย

" ไสยศาสตร์"

จะขอกล่าว เล่าเรื่องแปลก แทรกเว็บไทย 
เพื่อเตือนใจ ผู้มีคู่ อยู่กันสอง 
ที่ผิดศีล ไม่งาม ตามครรลอง 
เป็นทำนอง กวีศิลป์ ถิ่นเว็บธรรม
มีชายหญิง คู่หนึ่ง ซึ่งรู้จัก 
เริ่มแรกรัก สมัครใจ ไม่ชอกช้ำ 
งานน้อยใหญ่ ไม่เกี่ยง พร้อมเพรียงทำ 
ถึงระกำ เช่นไร ไม่ระอา
ร่วมก่อร่าง สร้างฐานะ พระก็เห็น 
เหมือนมีเวร กรรมปัด ซัดเข้าหา 
เมื่ออยู่อยู่ สามี ภรรยา 
ก็ถึงครา มีเหตุ อาเพศภัย
คืนวันหนึ่ง ภรรยา กลับตาขวาง 
มองมาทาง สามี ที่หลับไหล 
สามีตื่น มาพบ ก็ตกใจ 
พร้อมกลับร่าย มนต์เวทย์ เสกวิชา
ภรรยา ตาแดง ด้วยแรงฤทธิ์ 
หน้าก็ดำ อำมหิต ปรี่เข้าหา 
เสียงที่เปล่ง ตะคอก ที่ออกมา 
เหมือนหญิงแก่ ชรา ห้าพันปี
พร้อมกับร่าย มนต์ทวน สวนไปกลับ 
สามีพับ ปวดศีรษะ ผะงะหนี 
เหมือนมีคน บีบขมับ จับนาภี 
ด้วยฤทธี สามีร้อง ก้องฆรา
สามีสวด ได้เพียงนิด ด้วยจิตตก 
สั่นงันงก ตกใจ ให้ผวา 
ฟังเสียงสวด ดังก้อง ของภรรยา 
เหมือนวิญญาณ์ ถูกกระซาก จากชีวิน
สามีร้อง ดังก้องเรือน ใกล้เพื่อนบ้าน 
วิ่งซมซาน วิญญาณร้าย ทำลายสิ้น 
ขวัญกระเจิง สั่นเทา ข้าวไม่กิน 
เกิดได้กลิ่น เหม็นเน่า ตามเขามา
พ่อแม่ลูก ถูกจับแยก แรกเบื้องต้น 
เพราะทุกคน อกสั่น ขวัญผวา 
เนิ่นนานปี สามี ภรรยา 
ถูกรักษา แยกคู่ อยู่คนเดียว
ทราบทีหลัง ว่าสามี มีเมียน้อย 
ได้หมั่นคอย เหินห่าง เจอทางเลี้ยว 
ไม่ฟูมฟัก รักภรรยา มาคนเดียว 
กลับไปเลี้ยว ปันใจ ให้อีกทาง
ฝ่ายเมียหลวง หวงหึง ทึ้งทวงสิทธิ์ 
ได้ออกฤทธิ์ ทำพิธี เรียกผีสาง 
ไปหาหมอ ศาสตร์ไสย ให้อำพราง 
ทำเสน่ห์ เสริมนาง วางเล่ห์กล
ฝ่ายเมียน้อย เช่นกันหนอ ก็ทำไสยฯ 
เพื่อดึงใจ สามี ทุกที่หน 
ให้มาหลง เสน่ห์ เล่ห์ของตน 
ทำเล่ห์มนต์ ทะลึ่ง ดึงสามี
จึงเกิดเหตุ อาเพศร้าย หมายชีวิต 
ทำลายจิต ฆ่าเข่น ได้เช่นนี้ 
ขอทุกท่าน ที่อ่านย้อน กลอนพาที 
เป็นกวี อุหาหรณ์ เพื่อสอนใจ
นี่เรื่องจริง สิ่งที่พบ ประสบเข้า 
นำมาเล่า ย่นย่อ พอจำได้ 
รายละเอียด มีมาก หลายหลากนัย 
คราวต่อไป อาจแต่งต่อ หากพอมี (เวลา) 
....................................................... 
ขอแต่งต่อให้จบ..
สองเมียผัว ถูกจำแนก แยกกันอยู่ 
เพราะทั้งคู่ อาการ นั้นหนักหลาย 
ผู้เป็นเมีย เสียจริต จิตวุ่นวาย 
พวกญาติได้ นำส่ง โรงพยาบาล
ส่วนสามี อาการแย่ นอนแน่นิ่ง 
เหมือนผีสิง มีกลิ่นเหม็น เข่นจองผลาญ 
มีกลิ่นเน่า เข้าจมูก แกทุกยาม 
ทั่วเขตคาม เขารู้ ทั้งคู่เป็น
ลูกทั้งสอง ญาติเลี้ยงดู ทั้งคู่แย่ 
อะไรแน่ มาทำ ซ้ำทุกข์เข็ญ 
ทุกคนงง ฉงนยิ่ง สิ่งที่เป็น 
ดูเหมือนเช่น โดนคุณไสย ทำไงดี
ฝ่ายสามี นี้แย่ เห็นแน่ชัด 
หนาวสะบัด จิตข้อง ดูหมองศรี 
ตาเหม่อลอย หน้าซีด จิตไม่ดี 
บอกว่ามี ผีตามสิง นั่งนิ่งงัน
มีกลิ่นเหม็น ติดตามตัว กลัวสุดสุด 
ไม่ค่อยพูด ตาเขียว เสียวสันหลัง 
มีเสียงแว่ว เหมือนเสียงผี ที่ได้ฟัง 
และบางครั้ง ก็กลัวพระ พร้อมระแวง
แว่วเสียงผี ในหู ที่กู่เรียก 
โหยหวนเพรียก สำเนียง เสียงแหบแห้ง 
แกจิตตก ไม่นอน เริ่มอ่อนแรง 
ริบรี่แสง แห่งความหวัง ยังมืดมน
นำน้ำมนต์ เก้าวัด มาปัดป้อง 
รดจนนอง เนืองพื้น หลายคืนฝน 
วันเวลา ผ่านไป ไร้สิ่งดล 
หาได้ผล ใดไม่ ทำไงดี
แต่สุดท้าย เจอวัดดี ที่เพิ่งได้ 
จึงพาไป รักษา หน้าสดสี 
เริ่มยิ้มได้ ปราศรัยรู้ ดูเข้าที 
พระท่านมี วิชายอด จึงปลอดภัย
ปัจจุบัน ผัวเมียสอง ครองรักแล้ว 
กลับคืนสู่ เรือนแก้ว แววผ่องใส 
อยู่พร้อมหน้า พ่อแม่ลูก สุขสบาย 
ส่วนอดีต ยังฝังใจ ไม่เคยลืม

.............................................................
ไสยศาสตร์ นั้นรู้สึก ยังลึกลับ
อย่าไปนับ ความสำคัญ มันไม่เห็น
พุทธ ศาสตร์ เงาวับ ช่วยดับเวร
ให้ความเย็น แสงผ่อง ช่วยส่องทาง 

" กำลังใจ"

เมื่อใดเกิด ความท้อแท้ แลสิ้นหวัง
ไม่สมดัง ใจคิด จิตเศร้าหมอง
เห็นพระพุทธ สวยหรู ดูเรืองรอง
ความขัดข้อง หมองใจ มลายพลัน

จงระลึก คราพระองค์ ที่ทรงสู้
กับพวกหมู่ มารร้าย ได้ข่มขวัญ
ตอนพระองค์ ทรงบำเพ็ญ โมกขธรรม์
จนพวกมัน ไม่หาญสู้ กรูหนีไป

เราต้องสู้ เช่นพระองค์ ที่ทรงสอน
ธรรมาภรณ์ ขันติธรรม นำสมัย
ต้องอดทน ดั่งชินะ พระจอมไตร
กิเลสมาร น้อยใหญ่ ให้เข้ามา
เห็นองค์พุทธ ต้องเห็นธรรม จะล้ำเลิศ
จะประเสร็ฐ ได้แค่เห็น เป็นหนักหนา
เห็นอะไร ให้ตั้งจิต พิจารณา
ด้วยปัญญา อย่างแยบยล ไร้มลทิน


" เว็บไซต์สมัชชาสงฆ์ไทย"

thaitemple .org มิติใหม่
ศูนย์รวมใจ ชาวพุทธ บุตรพระสัมม์
ได้รวมเหล่า ธรรมทูต ชุดสำคัญ
มาสร้างสรร อย่างสุดสวย ด้วยแรงใจ
มีกำหนด การประชุม ที่อุ่นเอื้อ
ได้เนื้อเนื้อ สาระ สง่าใส
มีคณะ ส.ม.ช. ก่อเกริกไกร
ผู้เป็นใหญ่ บริหาร งานพระธรรม
พร้อมสาระ ดีดี มีบนเว็บ
ที่จัดเก็บ เป็นแนวทาง อย่างฉนำ
มีธรรมะ จากสงฆ์ ดำรงธรรม
รวมอาราม ในวิเทศ เขตปกครอง
รวมธรรมทูต ชุดปฏิบัติ พัทธกิจ
ศูนย์รวมจิต รวมใจ ไทยทั้งผอง
อีกทั้งมี ศิลป์ศาสตร์ วาดครรลอง
เป็นร้อยกรอง กวีศิลป์ ถิ่นเว็บธรรม
มีเว็บบอร์ด เด่นสะกาว ข่าวรวมมิตร
ตามประชิด ด้วยสารชุด บุตรพระสัมม์
อีกทั้งมี ภาพรวมมิตร กิจกรรม
มีบทความ บทธรรมะ ทูตะไทย
มีเว็บลิงค์ วีดิโอ โชว์ให้เห็น
ภาพสวยเด่น ส่งเสียง สำเนียงใส
มีอสุภะ มาเสริม เพิ่มทำใจ
มีโครงการ ธรรมเกริกไกร ให้สัญจร
มีสาระ สำคัญ วันพุทธศาสน์
มีประกาศ งานเกิดตาย ให้อนุสรณ์
มีข่าวสาร งานสำคัญ กันทุกตอน
นับเป็นบ่อน ให้ความรู้ เข้าสู่คน
มีเทศน์สด บนเว็บ เพชรเฉิดฉาย
ธรรมกระจาย เสียงขจร บ่อนเกิดผล
นับเป็นสื่อ ทันสมัย ให้ได้ยล
ทั่วไทยชน วิมลเหลือ เมื่อได้ฟัง
ขอเชิญชวน ทุกท่าน นั้นมาคลิ๊ก
เพียงกระดิก นิ้วที มีสุขัง
ทำงานไป ใจสุขี มีพลัง
จะลุกนั่ง ก็ฟังได้ thaitemple.org

" อบรมคอมพิวเตอร์"
วันที่เก้า ธันวา มหาฤกษ์
เป็นวันเปิด โครงการฯ ด้านสื่อสาร
เสริมความรู้ ทูตไทย ให้เก่งงาน
เพื่อสืบสาน งานสอน ป้อนพระธรรม
พระอาจารย์ มหาถนัด นัดพิเศษ
ไอเดียเด็ด เปิดโครงการฯ งานเลิศล้ำ
ท่านโน้มน้าว เอาจริง สิ่งที่ทำ
พร้อมหนุนนำ ทำสุดหรู ครูโครงการ
วันที่เก้า ถึงสิบสี่ ปีห้าหนึ่ง
เป็นวันซึ่ง วัดไทยดีซี มีข่าวสาร
ได้นิมนต์ พระอเมริกา มาทำงาน
ในโครงการฯ ส่งเสริม เพิ่มวิธี



เข้าอบรม เทคโน-โลยีศาสตร์
เพื่อสร้างปราชญ์ ศาสนา สง่าศรี
ให้เป็นผู้ รู้ใช้สื่อ คือวิธี
นำความดี ถ่ายทอดได้ ใช้เน็ตเป็น
พระธรรมทูต หลายรัฐ นัดมารวม
พร้อมได้ร่วม สร้างเว็บไซต์ ให้โลกเห็น
นำผลงาน ด้านสอน ป้อนตระเวน
ให้โดดเด่น เป็นชุดชุด ธรรมทูตไทย
พร้อมทำเด่น เห็นร่วมกัน นั้นอีกอย่าง
จะเทศน์ทาง บนเน็ต เพชรเม็ดใส
ให้ปัญญา โยมญาติ ประกาศไกล
ธรรมนัย ขององค์อาจ พระศาสดา
เป็นธรรมะ Delivery มีถึงบ้าน
ธรรมทาน งานประกาศ ศาสนา
เพื่อความสุข แก่เหล่า ชาวประชา
ในคามา เคหาสน์ วิลาสคุณ
โครงการเสร็จ อย่างสวยงาม ได้ตามเป้าฯ
วัดไทยเรา เข้าร่วมงาน ด้านอุดหนุน
กรุงวอชิงตัน ดีซี นี้มีบุญ
ได้ค้ำจุน โครงการ ผ่านพ้นภัย
ขอขอบคุณ ญาติโยม ทุกทุกท่าน
มาทำทาน ทุกวัน นั้นสดใส
ทั้งเช้าเพล ประเคนพระ ปาณะนัย
ทุ่มเทใจ ให้ศาสน์พุทธิ์ พิสุทธิ์เอย...

" สุริยุปราคา ปี๕๒"

ยี่สิบสอง กรกฏา ปีห้าสอง
ไทยทั้งผอง มองนภา ฟ้าต่างสี
ด้วยเพราะเกิด ปรากฏการณ์ ผ่านพระสุรีย์
ทำให้สี อาทิตย์คล้ำ ดำทันตา


เหตุเพราะเกิด การโคจร ของสามเกลอ
เวียนมาเจอ เส้นตรงแนบ แบบไอ๋หยา
พระอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกา
โคจรมา เรียงเป็นแถว แนวเดียวกัน


พระอาทิตย์ พี่ใหญ่ ให้อัดอึด
เพราะไม่นึก ว่าน้องน้อย มาคอยกั้น
แต่ก่อนนี้ เคยเห็นโลก อยู่ทุกวัน
อัศจรรย์ จันทร์คิดกล้า มาทำลง


จันทร์บอกว่า "ล้อเล่งน่า" อย่าเคร่งเครียด
อยากมาเบียด พวกพี่บ้าง ดังประสงค์
แหย่ชาวโลก ให้ตกใจ ให้งวยงง
สักครู่คง ฉันจะจาก พรากพี่ไป


ฝ่ายพี่โลก บอกจันทร์จ๋า จรมาเถอะ
พี่อยากเจอะ จันทร์สนิท แบบชิดใกล้
หลายปีดัก เดินขนาน กันห่างไกล
ไม่เรียงใกล้ เป็นเส้นแถว แนวเดียวกัน

" ชมวัดมงคลแทมป้า"

วัดมงคล รัตนาราม เมืองแทมป้า
สวยสง่า อาราม งามสดใส
มีธรรมะ เลอเลิศ ที่เกริกไกร
หลายหลากนัย สถิตอยู่ คู่อาราม

บริเวณ วัดหรู ดูโอ่อ่า
หมู่พฤกษา โดดเด่น เต็มสนาม
มีเถาวัลย์ พันต้นโอ๊ก ดูงดงาม
แซมด้วยปาล์ม งามพริ้ว ยามลิ่วลม


หมู่กระลอก กระโจนเต้น เห็นเริงร่า
เหล่านกกา เคียงคู่ ดูสุขสม
พันธุ์บุปผา ระย้าบาน ตระการชม
มีสายลม โชยพัด ประทับใจ

ชมวัดมงคลรัตนาราม เมืองแทมป้า (เวอร์ชั่น ๒)
วัดมงคล รัตนาราม เมืองแทมป้า
สวยสง่า อาราม งามสดใส
มีไม้ดอก กระถาง งามวิไล
พฤกษาไพร หลายหลาก นั้นมากมี
พันธ์ไม้โอ๊ก เรียงราย สายระย้า
เป็นวนา เขตขัณฑ์ อรัญญ์วาสี
แซมด้วยปาล์ม งามเด่น เต็มภูมี
เขียวขจี สนามหญ้า ดูน่าชม

หมู่กระรอก กระโจนเต้น เห็นเริงร่า
หมู่นกกา เคียงคู่ ดูสุขสม
ทั้งต้นโพธิ์ กอไผ่ ไ กวเล่นลม
นิรตรม เมื่อเห็น ดูเย็นตา

แม่น้ำปาล์ม เป็นฟองฟู่ อยู่หลังวัด
เพื่อประกาศ ความสดใส ให้หรรษา
กระแสนน้ำ ใสเย็น เห็นตัวปลา
กระทบฝั่ง ดังซู่ซ่า ช่างน่าดู



ถัดแม่น้ำ ขึ้นไป ไม่ไกลนัก
จะประจักษ์ สิ่งเลิศล้ำ ทำได้หรู
อุโบสถ งามยิ่ง สิ่งเชิดชู
มีHALLใหญ่ เคียงคู่ อยู่ไม่ไกล

กุฏิสงฆ์ ตั้งตระหง่าน อยู่ด้านหน้า
เขตสังฆา- รามวาสี ที่อาศัย
พุทธศิลป์ ถิ่นสอน ภาษาไทย
อยู่ไม่ไกล ใกล้เขตสงฆ์ อยู่ตรงกัน
วัดมงคล รัตนาราม เมืองแทมป้า
เมื่อได้มา ได้เห็น เป็นสุขสันต์
กว่าจะกลาย มาเป็น เช่นทุกวัน
ได้ฝ่าฟัน ก่อร้าง สร้างยาวนาน

ขอเชิญชวน ญาติโยม ไปชมวัด
ปฏิบัติ ธรรมา พาประสาน
วิปัสสนา วัดมงคล มีโครงการ
ธรรมสราญ วัดสลวย ด้วยวิปัสสนา
.....................................................
" ประชุมวัดมงคลแทมป้า"

งานประชุมวัดมงคล แทมป้า
วันที่สิบเจ็ด พฤษภา ปีห้าศูนย์
วันเพิ่มพูน วันก่อ ทอกุศล
วันชุมนุม ศรัทธา สาธุชน

วันนิมนต์ อภิวาท์ สาธุการ
เป็นวันดี วันเลิศ ก่อเกิดผล
วัดมงคลฯ แทมป้า พาประสาน
พร้อมญาติโยม ทุกฝ่าย ได้จัดงาน

ทวิการณ์ งานสองส่วน ล้วนเป็นบุญ
หนึ่งประชุม สมัชชาฯ หน้าที่สงฆ์
ผู้ดำรงค์ พุทธธรรม นำอุดหนุน
ธรรมทูต ต่างประเทศ เจตน์จำรูญ

มาเพิ่มพูน ประชุมธรรม ประจำปี
งานที่สอง ของวัด จัดต่อเนื่อง
ก็คือเรื่อง ของพระ พัทธสีม์
งานฝังลูก นิมิตเทศ เขตทำดี

วินัยมี กำหนดไว้ ให้สงฆ์ทำ
ก่อนถึงงาน สี่วัน นั้นคึกคัก
พระต่างวัด บินมา อย่างคราคร่ำ
ส่วนพระโยม ก็อบอุ่น ต่างหนุนนำ

ทั้งข้าวน้ำ ที่พัก จัดรับรอง
บ้างไปรับ สนามบิน ถิ่นเครื่องจอด
บ้างจัดบอร์ด ของวัด ไม่ขัดข้อง
บ้างจัดโต๊ะ จัดเก้าอี้ ที่รับรอง

บ้างจัดของ สารพัน ก่อนวันงาน
บ้างดูดฝุ่น เตรียมจานถ้วย ด้วยมานะ
เตรียมรับพระ ต่างรัฐ วัดผสาน
เตรียมโรงครัว เตรียมHallใหญ่ ไว้ใช้งาน

เตรียมถวาย เอกสาร งานCD
เตรียมผูกผ้า ประดับ พับเป็นชั้น
ต่างช่วยกัน ทุกฝ่าย ให้พิถี
งานน้อยใหญ่ ได้เผด็จ สำเร็จดี

พระมากมี โยมมากมาย ได้ร่วมงาน
งานน้อยใหญ่ ที่หลวงตา แทมป้าจัด
ได้สะพัด วัดมงคล ฯ คนกล่าวขาน
ต่างตะลึง ทึ่งทรุด สุดตระการ

คืนวันผ่าน งานกุศล มีคนชม
พระวิเทศ สุตคุณ ทุ่มทุนจัด
ให้งานวัด ได้ชุ่มช่ำ ทำได้สม
เปรียบน้ำทิพย์ แห่งสัคคา มาพร่างพรม

เพราะได้บ่ม ทาน/กุศล วิมลธรรม
ได้บำเพ็ญ สาราณีย์ ที่รำลึก
มาตรองตรึก ถึงหน้าที่ ที่สุขสัมม์
มุ่งปลูกฝัง สั่งสมทุน เกื้อหนุนนำ

กระชับธรรม คารวะ สามัคคี
หลวงตาใคร่ ได้กระทำ สิ่งล้ำเลิศ
ก่อให้เกิด สรธรรม นำสุขี
เป็นมรรคา ทางดำเนิน เพิ่มความดี

เป็นศักดิ์ศรี แก่ศาสน์/วัด ขจัดภัย
ได้สร้างโบสถ์ กุฏิ ที่พักสงฆ์
หมายดำรง อนุสรณ์ บ่อนสุกใส
ได้บำเพ็ญ วิหารธรรม นำสุขใจ

แก่เวไนย ใต้ร่มศาสน์ พระศาสดา
ท่านได้ฝาก ผลงาน ชั้นปฐม
เป็นบรม งานเอก วิเศษกล้า
อนุชน รุ่นหลัง ยังตรึงตรา
น้อมนำพา ศรัทธามั่น นิรันตร์ดร............

" ประชุมวัดมงคลเทพมุนี"

ธรรมทูตชุดวิเทศ           เข้าสู่เขตวัดมงคลฯ
เพื่อสร้างทางกุศล         ทำมณฑลพัทธสีมา
เถระจากต่างทิศ           มาด้วยจิตมุทิตา
พร้อมร่วมสักการา         รุจิตาร้อยดวงใจ
วันเกิดเจ้าประคุณฯ       ผู้วิบูลย์วิมลใส
ร้อยจิตอุทิศกาย           ถวายสงฆ์ผู้ทรงคุณ
สังฆสามัคคี                งานนี้มีการประชุม
กอปรกิจนิตย์จำรูญ        งานของศาสน์ประกาศธรรม
มาร่วมสัมมนา              มาปรึกษามาน้อมนำ
ชี้แจงแถลงย้ำ                   งานคณะสมัชชาฯ
มาร่วมคิดสร้างสรร        มาร่วมกันจำนรรจา
สานรอยที่เภทา           ให้สนธิมิขัดเคือง
มาฝากเรื่องเก่าเก่า        นำมาเล่ากันหลายเรื่อง
ทอนจิตความคิดเปลือง หายขัดข้องหายหมองใจ
ระบายคลายปัญหา       หมักหมุมมาจากแดนไกล
สาธกยกความใน          ให้คณะพระรับรอง
บางรูปเอาวัดขึ้น           ไม่ให้ฝืนการปกครอง
ให้เป็นตามครรลอง       สนองงานการสงฆ์ไทย
เป็นภาพที่ปลาบปลื้ม     ยากจะลืมงานนี้ใหญ่
หลายฤกษ์หลายเบิกชัย ได้ร่วมกันสันทนา
มงคลเทพมุนี              อารามดีวิจิตรา
จัดได้อลังการ์              น่าชื่นชมสมประดี
วัดใหญ่ในวิเทศ           อาณาเขตเขียวขจี
ตระหง่านบนภูมี           ในอเมริกาสง่างาม
มีโบสถ์ที่สวยสุด          เขตทำถูกวิสุงคามฯ
เป็นเขตพุทธาราม         ดูงามเด่นเป็นหลักชัย
เจ้าอาวาสทุ่มทุนสร้าง    ให้เป็นงานที่เกรียงไกร
ผนึกอยู่กลางใจ           ไทยนเรศวิเทศชน
ประกาศความเป็นพุทธ   ศาสน์พิสุทธิ์มหิทธิผล
แจ้งชัดมัดใจคน           ใครได้ยลมุทิตา
ทางวัดจัดต้อนรับ         เหลือจะนับคณนา
หลายดีสัปปายา           ยากจะหาใครเทียมทัน
จัดได้ดีเช่นนี้               คนต้องมีคนลงขัน
ร่วมด้วยได้ช่วยกัน        ร่วมเป็นหนึ่งซึ้งจริงจริง
มงคลเทพมุนี              มีโยมดีที่สุดหนิง
หนักเบาไม่ประวิง         ต่างได้วิ่งช่วยเหลือกัน
ธรรมะแพร่สะพัด          ทั่วทั้งวัดดังสนั่น
ดอลล่าร์มารวมกัน         เพื่อสร้างสรรคุณความดี
สาธุมุทิตา                  ที่ได้มาในครั้งนี้
ได้ทุนบุญชีวี               สุดเหลือที่พรรณนา
รูปธรรมเห็นทั้งหมด      ได้ปรากฏแก่สายตา
บนเว็บสมัชชาฯ           โปรดคลิ๊กหากันได้เลย
..


""ซานติก้าผับผี อัคคีนรก""

โอ้อนาถ ศพสยอง กองตายยับ
ซานติก้าผับ ถูกไหม้ ให้สยอง
หมู่นักเที่ยว ตายกราดเกลื่อน กันเนืองนอง
ย่างสยอง ศพแสยะ ไฟแทะเล็ม
""""""""""""""""""""""""""""""""
ก่อนจะตาย ให้สนุก กันสุดเหวียง
แสงสีเสียง ฉลองปี มีสุขสันต์
ทั้งร้องเพลง ทั้งเต้น เป็นพัลวัน
เหมือนสวรรค์ บนมนุษย์ สนุกจัง
อนิจจา อัคคะยาร่วง ช่วงสนุก
ไฟโรมลุก โหมร่าง ดั่งห้องขัง
เสียงกรีดร้อง วิ่งกันดะ งะจังงัง
ไฟโหมร่าง ย่างสดสด สลดใจ
""""""""""""""""""""""""""""""""""""
จากสวรรค์ บนดิน ถิ่นหรรษา
ชั่วพริบตา อัคะยาไหม้ ไฟลุกโหม
ได้กลับกลาย เป็นนรก ไฟลุกโซน
สุดจะทน ทุกคนได้ ตายพร้อมกัน
สุดจะเพรียก เรียกให้ หาใครช่วย
ทุกคนม้วย ด้วยไฟโหด หมดสุขสันต์
สุดอำลา คราวิโยค นรกควัน
ตายกองกัน สวรรค์หด นอนซบไฟ
"""""""""""""""""""""""""""""""""""
เสียงรถหวอ ดังสนั่น ลั่นสยอง
ลำเลียงลอง ผู้ประสบภัย ใจหดหาย
โอดโอยเสียง ผู้เกือบจอด ที่รอดตาย
ไฟโหมไหม้ ได้คุกรุ่น คนวุ่นวาย
"""""""""""""""""""""""""""""""""
อนุสรณ์ เตือนใจ ให้ซานติก้าฯ
รัตติยา ราตรีผับ ที่หลับใหล
มุ่งบำรุง แสงสีเสียง เพียงข้างใน
ไม่ใส่ใจ ส่งเสริม เพิ่มปัญญา
มุ่งมอมเมา เอาแต่เงิน เกินขอบเขต
จึงเกิดเหตุ อาเพศภัย ให้ผวา
มุ่งบำเรอ ไม่บำรุง ทุ่มปัญญา
เลยถึงครา อัคคะยาไหม้ ไฟเผาลน
ไม่ได้มี มาตรการ กันไฟไหม้
ความปลอดภัย ไร้คนอ้า ไม่มาสน
มุ่งแต่สรร นำเสนอ มาเปรอปรน
กิเลสลน โดนไฟซ้ำ กรรมของใคร
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
คลิ๊กเข้ามา อย่างท่วมท้น คนชมเว็บ
มาร่วมเก็บ บทเรียน เพียรศึกษา
มาร่วมอ่าน กลอนส่งเสริม เพิ่มปัญญา
ซานดิก้า ผับอัคคี ที่โด่งดัง
ปัจจุบัน ถึงซานติก้า จะปิดลง
ก็ยังคง อาละวาด ฝากความหลัง
ยังติดตา วันเกิดเหตุ อาเพศภังค์
ภาพความหลัง มาหลอกหลอน สะท้อนใจ
ดวงวิญญาณ นักเที่ยวท่อง ยังล่องลอย
จิตระห้อย ในซานดิก้า น้ำตาใหล
ยังโหยหวน ชวนหดหู่ อยู่ข้างใน
ฝากทิ้งไว้ ความเหี้ยน บทเรียนเรา
แผ่เมตตา ซานดิก้า วิญญาณ์ผับ
ขอจงกลับ ตัดอาลัย อย่าให้เหงา
อย่าตรอมตรม หมองไหม้ ให้บรรเทา
อย่าโศกเศร้า เคล้าน้ำตา อย่าอาวรณ์
ขออุทิศ ส่วนกุศล ผลบุญให้
จงตัดใจ สิ่งแล้วมา อย่าทอดถอน
ตัดอาลัย ในสถานที่ ที่อากร
ตนม้วยมรณ์ ก็เพราะเหตุ อาเพศภัย

ขอจงไป สู่สวรรค์ อนันตเขต
จงตัดเลศ บ่วงปลิด ชีพตักษัย
จงทำจิต ให้สงบ พบพระไตรฯ
และจงไป ภพภูมิดี ที่ชอบเทอญ



ศิษย์คนจน (แต่งเนื่องในวันครู)

ทั้งสิบนิ้ว พริ้วระแร่น อยู่แป้นคอมฯ
จิ้มเป็นหย่อม พิมพ์ร่าย กลายอักษร
ในวันครู รู้ซึ้ง ถึงอาวรณ์
ทุกอักษร ทุกแป้นพิมพ์ ปริ่มดวงใจ
ขอระลึก ถึงครู ผู้ประสาท 
ได้ขีดวาด ลูกศิษย์ ให้พิศมัย
ได้ทุ่มเท เมตตา นภาลัย
ออกจากใจ อย่างล้นเหลือ เพื่อศิษย์ตน
ได้มอบยิ่ง สิ่งดีดี ไม่มีเหลือ
หวังเพียงเพื่อ ศิษย์สบาย ไม่ขัดสน
รักเมตตา เยี่ยงลูก ผูกจิตตน
ในกมล มีแต่ให้ ไม่ระอา
วันที่ออก จากโรงเรียน เกษียนขีด
ทำให้ศิษย์ โหยให้ อาลัยหา
ต้องอ้างว้าง ห่างเพื่อนหรู และครูบา
อนิจจา ศิษย์จนยาก จึงพรากเรียน
กอดต้นเสา แอบซุ่ม อยู่มุมตึก
หวนระลึก ถึงอดีต เคยขีดเขียน
มองเม่อตาม ยามเพื่อน ไปโรงเรียน
ชีวิตเวียน วนหาย อยู่ปลายนา
กลายเป็นเด็ก เลี้ยงควาย ตามปลายทุ่ง
พร้อมจรุง มุ่งทำงาน อันหนักหนา
มาทำไร่ กสิกรรม หามทิวา
อนิจจา หมดสิ้น สิ่งอยากเรียน
จนอะไร จนได้ อย่าไร้คิด
จึงตัดสิทธิ์ ไม่ทำนา มาขีดเขียน
ได้เข้าบวช สามเณร บำเพ็ญเพียร
โอกาสเรียน จึงอ้า มาซบเรา
อยากจะบอก คุณครู อยู่หลายครั้ง
แต่ก็ห่าง กันไป ใจเงียบเหงา
เคยเดินผ่าน โรงเรียน เพียงเห็นเงา
ของครูเรา ให้ท่านรู้ เพื่อฟูใจ

อนิจจา บรรพชา พาให้หลง
ครูคงงง จำผิด คิดไฉน
ไม่มีคน มาทักทาย ให้เปลี่ยวใจ
เดินเลยไป ผ่านกี่ครั้ง อย่างเดียวดาย
ถึงครูจำ ไม่ได้ ให้รู้เถิด
ว่าศิษย์เกิด ใหม่แล้ว แก้วนพฉาย
อยู่ในอ้อม ผ้ากาสาวะ พระรัตนตรัย
ถวายใจ ในพระพุทธฯ พิสุทธิ์งาม
หากครูอยู่ คงแย่ คงแก่แล้ว
ขอพรแก้ว มาร้อยรัด รัตนสาม 
จงประทาน สุขเอนก สมเจตน์ตาม
จงงดงาม อร่ามจิต นิตย์นิรันดร์



ใกล้จะถึงรอยต่อของกาลที่ชาวโลกสมมุติให้เป็นสิ้นปีเก่า เข้าสู่ปีใหม่กันแล้ว วันนี้จึงขอนำความรู้สึกของบุคคลที่อยู่ในกาลเวลาทั้ง 2 วัยมาฝาก อันเป็นกระจกส่อง 2 ด้านให้เราส่อง เป็นสำนวนกลอน พร้อมด้วยภาพที่เป็นบุคลาธิษฐานประกอบ... 
................................ 
รอยต่อของเก่าและใหม่ของกาลเวลา 
…............................................... 

รอยขอบทอง ของกาล นั้นใกล้แล้ว 
ปีเก่าแจว ใหม่มา หาอีกหน 
อายุเพิ่ม หนึ่งพ.ศ.หนอละคน 
กาลหมุนวน มาบรรจบ พบอีกครา 

แต่ก่อนนั้น เจอปีใหม่ ใจเผยอ 
ตอนนี้เจอ แล้วอกสั่น ขวัญผวา 
เพราะยิ่งเจอ ยิ่งแก่หนัก อักอุรา 
ความชรา ไม่ปราณี ที่มาเยือน 

ถึงไม่มี ปีเก่าใหม่ ก็ช่างเถิด 
ธรรมก็เกิด ทุกทิวา มาเป็นเพื่อน 
อุปาทะ เกิดขึ้น เหมือนหนึ่งเตือน 
ว่าต้องเคลื่อน เปลี่ยนผัน ทุกวันไป 

จะฐิติ ตั้งอยู่ ไม่รู้โรย 
จะไปโหย หาได้ จากที่ไหน 
ไม่จีรัง พังทุกสิ่ง ไม่อิงใคร 
ถมทับไว้ เป็นซาก ฝากโลกันต์ 

คุณธรรม ความดี ที่เหลืออยู่ 
ทั้งความรู้ ความสามารถ ที่อาจกั้น 
เก็บฝากยล ผลงาน ผ่านคืนวัน 
ให้โลกนั้น ระลึกถึง ซึ่งความดี 


ก่อนสิ้นปี จึงควร หวนรำลึก 
ให้ย้อนนึก ที่ผ่านมา หาตอนนี้ 
จงชั่งดู รู้กำลัง ชั่งอีกที 
ถึงตอนนี้ ขาดทุน หรือกำไร? 

หากพบว่า ความดี ที่น้อมนึก 
สิ่งประพฤติ อันพิสุทธิ์ ก่อจุดหมาย 
จงน้อมนำ สานทอ ทำต่อไป 
ตลอดสาย ความดี ปีผ่านมา 

หากสิ่งใด ก้าวพลาด ประมาทผิด 
ขอให้คิด เป็นบทเรียน เพียรศึกษา 
นำเป็นครู สอนตน ยลนำพา 
อย่าให้มา พลาดอีก ปลิดทิ้งมัน 

ขอจงนำ สิ่งสดใส ไปสานต่อ 
สิ่งชั่วหนอ ในใจ ไม่สุขสันต์ 
จงสละ กับปีเก่า ไม่เอามัน 
ก้าวข้ามขั้น สู่ปีใหม่ สดใสเทอญ.... 



กลอนสะท้อนชีวิตของยายท่านหนึ่ง ซึ่งผ่านเวลาเก่ามานาน แต่ทว่าลูกหลาน ได้เผาผลาญความสุขของท่านไปหมดสิ้น เหลือเพียงรอยแก่ความทุกข์ ความย่น ความตกกละ เท่านั้น เป็นของขวัญชีวิต 
(ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่ประการใด) 



กำลังจะตาย.. 
.......................... 
ก่อนจะสิ้น ปีเก่า ขอเล่าถึง 
ให้คำนึง ชีวิตเก่า อยากเล่าขาน 
สะท้อนหญิง แก่ชรา อยู่ช้านาน 
คืนวันผ่าน ระทมทุกข์ สุดชีวี 

สามีตาย ไปสุดกู่ อยู่เดียวโดด 
ยายก็อด ทนสู้ อยู่ไม่หนี 
อยู่กับลูก และหลาน เนิ่นนานปี 
ทุกข์ทวี เจอปัญหา คณานับ 

ลูกสาวนั้น ติดสุรา เป็นบ้าเหล้า 
หลานก็เมา ยาบ้า คราตกอับ 
เงินไม่มี ลูกติดยา ไม่หาทรัพย์ 
สองหลานนับ วันจี้คอ รอวันตาย.. 

หลานหญิงชาย ได้เสพย์ยา หาลักของ 
นำตานอง ร้องให้ ใจสลาย 
หลานขโมย ของในบ้าน ไปหลายราย 
นำไปขาย เพื่อต่อใจ ไว้เสพยา 

เจอสภาพ หลานลูก อยู่ทุกวัน 
สุดต้านทาน กระอัก เป็นหนักหนา 
อยากจะสอน ก็จนจิต อนิจจา 
ลูกหลานข้า เหล้า,บ้าสิง นั่ งนิ่งงัน 





ยายได้มอง ทั้งน้ำตา ถึงคราแย่ 
ตายแน่แน่ ชีวิตยาย ใจกายสั่น 
ผวากลัว หลานลูก อยู่ทุกวัน 
เทพสวรรค์ ใดหนา ช่วยข้าที 

ยายคร่ำครวญ ทั้งน้ำตา คราจะนอน 
ทั้งอ้อนวอน คุณพระธรรม นำสุขี 
คุณพระพุทธ พระสงฆ์ด้วย ช่วยลูกที 
ชีวิตนี้ สุดท้าย ไ ด้แต่ปลง 

ประสบเหมาะ เคราะห์กรรมใด ในครั้งนี้ 
จึงถึงที ทำยาย ไม่ประสงค์ 
ยายตัดพ้อ ชะตาใย ทำได้ลง 
ยายงวยงง กับชีวิต อนิจจา 

อุตส่าห์เลี้ยง ลูกหลาน ปานใจขาด 
ยอมลำบาก ทั้งกายใจ ได้เสาะหา 
ทั้งทำงาน เหนื่อยเหน็ด เก็บเงินตรา 
เพื่อนำมา เลี้ยงลูกหลาน ผ่านพ้นภัย 

ยอมนุ่งผ้า เก่าขาด ประหยัดสุด 
เพื่อหลานลูก ราบรื่น ยายยื่นให้ 
ท่านยอมอด ยามหิว กิ่วขาดใจ 
เพื่อเก็บไว้ ให้ลูกหลาน ท่านนั้นยอม 

ท่านถนอม กล่อมเกลี้ยง เลี้ยงหลานลูก 
ถึงจะทุกข์ กายใจ ยายก็พร้อม 
ท่านมีบ่วง หลายห่วง ดวงพยอม 
แต่ท่านพร้อม จะสู้ ไม่ดูแคลน 

ท่านหวังว่า วันหนึ่ง อยากพึ่งลูก 
อยากได้ซุก ลูกหลาน อันสุขแสน 
อยากพักผ่อน ตอนบั้นปลาย ตอนไร้แฟน 
ถึงแร้นแค้น ไปบ้าง ก็ช่างมัน 

อนิจจา ลูกหลานโต โมฆะเปล่า 
พากันเหมา ติดยา หาขยัน 
ทั้งติดเหล้า ติดยาบ้า บ้าพนัน 
ทุกข์โรมรัน เผาเรือน เหมือนอบาย 

ไม่สำนึก คิดแทนคุณ ที่อุ่นเอื้อ 
ไม่จุนเจือ ผู้มีพระคุณ หนุนส่งให้ 
ใช้ชีวิต เพลิดเพลิน ระเริงใจ 
สิ่งสุดท้าย ยายต้องนั่ง หลั่งน้ำตา 

นี่นะหรือ คือสิ่งมอบ ตอบแทนให้ 
นี่นะหรือ ตอบแทนใจ อาลัยหา 
นี่นะหรือ คือกตัญญู รู้มารดา 
นี่นะหรือ สิ่งบูชา คราเติบโต 

นี่นะหรือ ? คือของขวัญ วันปีใหม่ 
นี่นะหรือ ? คือกำลังใจ ใหญ่อักโข 
นี่นะหรือ? คือสิ่งดี ที่อยากโชว์ 
นี่นะหรือ คือความโก้ ที่โชว์กัน 

สมแล้วหรือ? สุดท้าย ยายได้รับ 
สมแล้วหรือ? ยายกลับ รับโศกศัลย์ 
สมแล้วหรือ? ลูกหลายคิด ริทำกัน 
สมแล้วหรือ? คือวัน ที่ท่านรอ 

ขอเป็นสื่อ สะท้อนจิต ชีวิตยาย 
ขอระบาย ความจริง ทิ้งพอศอ 
ขอสะท้อน ชีวิตเก่า ที่เฝ้ารอ 
ความสุขหนอ ขอให้ยาย ท่านไว้ดู 

แปดสิบกว่า ของยาย ใกล้จะกรอบ 
ขอให้มอบ กำลังใจ ให้ท่านสู้ 
ขอลูกหลาน จงเลิกยา พาเชิดชู 
จงกอบกู้ ชีวิตยาย ในเร็ววัน 

ขอจงเริ่ม ชีวิตหนอ พ.ศ.ใหม่ 
พร้อมด้วยใจ ที่บริสุทธิ์ อย่างสุขสันต์ 
อยู่กับยาย ไ ร้ยา ค่าอนันต์ 
เป็นของขวัญ ปีนี้ สุขีเอย..... 

...............................


กาลเวลา หนุนเวียน เปลี่ยนแปรผัน 
คืนและวัน ลาลับ ดับเลือนหาย 
กาลเวลา ผลาญสัตว์ ซัดให้ตาย 
ต้องมลาย ตายสิ้น ทุกอินทรีย์.. 



ปัจจุบัน นั้นเหมือนกับ ภาพลวงตา 
พอไม่ช้า ก็กลับกลาย ตายเป็นผี 
ตอนยังอยุ่ ควรสะสาง สร้างทางดี 
ผลบารมี เป็นเครื่องค้ำ ช่วยนำพา 

ตัวตายแล้ว ชื่อเสียงนั้น พลันปรากฏ 
เป็นภาพพจน์ ชนรุ่นหลัง ยังศึกษา 
ยังฟูเฟื่อง เลืองกระฉ่อน ทั่วโลกา 
ชาวประชา ยกย่อง ชั่วนิรันดร์.


โทษของกาลเวลา (ผลิตผลของกาลเวลาที่ตัวคน)
ชรตานุสสติกัมมัฏฐาน 

อันดอกไม้ ผลิดอก ออกตอนเช้า 
ต้องเหี่ยวเฉา ด้วยแรง แสงอาทิตย์ 
ส่วนมนุษย์ ก็คล้ายคลึง ถึงมีจิต 
โดนชรา พิชิตเกี้ยว เหี่ยวเล่นกัน


พุทธา- นุสสติ กัมมฐาน 
ถือเป็นงาน ของใจ ให้คิดถึง 
องค์พุทธ- นะมะไว้ ให้รำพึง 
นับเป็นหนึ่ง อารักขะ-ธรรมะทองไ 

เมื่อใดเกิด ความท้อแท้ แลสิ้นหวัง 
ไม่สมดัง ใจคิด จิตเศร้าหมอง 
เห็นพระพุทธ สวยหรู ดูเรืองรอง 
ความขัดข้อง หมองใจ มลายพลัน 


จงระลึก คราพระองค์ ที่ทรงสู้ 
กับพวกหมู่ มารร้าย ได้ข่มขวัญ 
ตอนพระองค์ ทรงบำเพ็ญ โมกขธรรม์ 
จนพวกมัน ไม่หาญสู้ กรูหนีไป 


เราต้องสู้ เช่นพระองค์ ที่ทรงสอน 
ธรรมาภรณ์ ขันติธรรม นำสมัย 
ต้องอดทน ดั่งชินะ พระจอมไตร 
กิเลสมาร น้อยใหญ่ ให้เข้ามา 

เห็นองค์พุทธ ต้องเห็นธรรม จะล้ำเลิศ 
จะประเสร็ฐ ได้แค่เห็น เป็นหนักหนา 
เห็นอะไร ให้ตั้งจิต พิจารณา 
ด้วยปัญญา อย่างแยบยล ไร้มลทิน




หมาเกิดเป็นเทวดา


มีบุรุษ คนหนึ่ง ซึ่งอดอยาก 
แสนลำบาก แร้นแค้น แสนขัดสน 
ได้พาเมีย พร้อมลูก ทุกข์เหลือทน 
หอบกายกล สังขาร เดินทางไกล 

จากเมืองหนึ่ง สู่เมืองหนึ่ง ซึ่งไกลโพ้น 
สู้อดทน อุ้มลูกน้อย ที่ป่วยไข้ 
ผลัดกันอุ้ม กับภรรยา มาแต่ไกล 
ทั้งเหงื่อไคล ก็ไหลหยด ทั้งหมดแรง 

ทั้งแม่พ่อ แรงเอื่อย เมื่อยใจขาด 
พ่อเอ่ยปาก ด้วยสำเนียง เสียงแหบแห้ง 
ไม่ไหวแล้ว ภรรยา ข้าหมดแรง 
ถึงทางแพร่ง ขอจริง ทิ้งลูกกัน 

ภรรยา เผลอไผล เดินให้หลัง 
สามีนั่ง ทำเป็นเหนื่อย เมื่อยหลับไหล 
พร้อมทิ้งลูก ในทางเปลี่ยว เลี้ยวเดินไป 
ภรรยา ร่ำไห้ แทบวายปราณ 

พ่อแม่ช้ำ จำใจจริง ทิ้งลูกน้อย 
ตาละห้อย แทบวายจินต์ สิ้นสังขาร 
เดินเข้าสู่ โกสัมพี นี้เกินกาล 
ถึงโคบาล ตระกูลหนึ่ง ซึ่งทำบุญ 


เจ้าของบ้าน โคบาล นั้นทานข้าว 
พร้อมเลี้ยงเจ้า สุนัข ที่รักขุน 
ป้อนอาหาร ใส่ปากหนับ รักการุณ 
ดูอบอุ่น น่าอิจจา หมาโชคดี 

สองสามี ภรรยา อ้าปากมอง 
น้ำลายฟ่อง เลยหนา หน้าสดสี 
อยากเป็นหมา นายโคปาล์ คงจะดี 
จะได้มี อาหารหม่ำ น้ำลายไหล 

เจ้าของบ้าน โคบาล สงสารจิต 
จึงได้หยิบ อาหาร ที่ทานให้ 
สองสามี สั่นเทา รับเอาไป 
พร้อมกับไหว้ งันงก จกกินกัน 

ด้วยหิวหนัก ควักกิน อิ่มเกินขนาด 
สามีขาด- ใจปลิด ชีพตักษัย 
เสียชีวิต สิ้นลม ลงทันใด 
วิญญาณได้ จุติ ที่นั่นเลย 

เกิดในท้อง ของหมา เจ้าของบ้าน 
นายโคบาล ที่ให้กิน ไม่นิ่งเฉย 
เพราะอาศัย จิตเป็นทุน ที่คุ้นเคย 
ที่เคยเอ่ย อยากเป็นหมา คราก่อนตาย 

ชีวิตคน เกิดเป็นหมา ชะตานี้ 
เกิดในที่ บ้านใหญ่ ให้อาหาร 
เป็นหมารัก ของคนโต นายโคบาล 
ผู้ทำทาน เป็นนิจสิน ถิ่นพระมา 
นายโคบาล นิมนต์พระ มาประจำ 
ทุกเช้าค่ำ ก็ไปวัด ปัฏฐยา 
พร้อมกับนำ สุนัข ติดตามมา 
พัฒนา ฝึกหัดเขา เฝ้าเอ็นดู 

มีวันหนึ่ง เขาใช้ ให้หมารัก 
ไปที่วัด นิมนต์พระ สง่าหรู 
มันก็ชอบ กระโดดผาง หางไกวชู 
แต่เช้าตรู่ นิมนต์พระ มาฉันเพล 

มันดึงคาบ งับจีวร เดินก่อนพระ 
มุมานะ ดีใจ ทำให้เห็น 
พระเห็นมัน แสนรู้ ดูไร้เวร 
จึงคิดเล่น ลองเดินเบี่ยง เลี่ยงข้างทาง 

ท่านทดลอง อยากดู มันรู้สึก 
มันจะนึก ทำอย่างไร เดินไม่ห่าง 
หมามันเห็น พระเจ้า ไม่เข้าทาง 
มันเห่ากร่าง เข้าทางขึง ดึงจีวร 

มันทำอยู่ เช่นนี้ หลายปีดัก 
ได้ฟูมฟัก ศรัทธา อนุสรณ์ 
พระไม่มา เหมือนเดิม เริ่มขาดตอน 
จึงเห่าหอน คิดถึง ประหนึ่งคน 

มันหงอยเหงา เฉาตาย สิ้นใจขาด 
ด้วยอำนาจ เสียงเห่า เฝ้าฝึกฝน 
สละเสียง เห่าหอน ตอนทำบุญ 
ได้เจือจุน บุญนิธิ ติดตามพลัน 

ไปเกิดเป็น เทพบุตร โฆสะกะ 
ที่เทวะ นคร บ่อนสวรรค์ 
เทพติงสะ เสวยผล บุญอนันต์ 
อยู่สวรรค์ ตราบอายุ อยู่สบาย


........................................................

กฐินวัดบุศย์ฯ



วันที่สี่พฤศจิกายนโยมวัดบุศย์ฯ
 ผู้ผ่องผุดด้วยเจตนามหากุศล 
ได้ทุ่มเทปัจจัยกายกมล       
ทำกุศลบุญกฐินปิ่นบุญญา
 
เป็นกฐินสามัคคีช่างดีเหลือ         

ได้แผ่เผื่อเกื้อกูลทุ่มจัดหา 
เป็นกุศลอุดหนุนทุ่มศรัทธา         

นคราเมืองใหญ่ได้มาเจอ. 

ทั้งฟอร์ทเวิร์ทอาลิงตันทั้งดัลลัส   

ได้ร่วมหัตถ์ทำบุญอุ่นเสมอเป็น 
เป็นปึกแผ่นแสนดีที่เลิศเลอ        

 ทั้งคุณเธอเอ่อยิ้มดูอิ่มบุญ. 

ได้ส่งเสริมวินัยสงฆ์ตรงช่วยพระ   

ได้ชำระกายใจได้อุดหนุน 
ได้ถวายผ้ากฐินถิ่นใบบุญ           

ได้ก่อทุนสามัคคีนี้ยาวนาน 

ได้สืบสานวัฒนธรรมนำชาวพุทธ   

ได้พิสูจน์ศรัทธามหาศาล 
ได้ปลูกฝังทางดีที่ยาวนาน          

ให้ลูกหลานต่างประเทศวิเศษจัง 

จะขอกล่าวเล่าตำนานกาลกฐิน    

เข้าสู่ถิ่นวินัยให้ถึงฝั่ง 
เพื่อเปิดเผยที่มาหาปิดบัง           

 เป็นพลังเพิ่มปัญญาสาธุชน 

มีภิกษุกลุ่มใหญ่ในอดีต       

อยู่จารีตเข้าพรรษหาสับสน 
ออกพรรษาจะไปเพื่อได้ยล   

ทศพลองค์ปราชญ์วิลาสคุณ 

ได้เดินทางปาเฐยยะ-สาวัตถี 

บนภูรีที่ระดาด้วยห่าฝนฯ 
ทั้งขึ้นบกลงหนองต้องผจญ  

เปื้อนดินโคลนจมเวจจ์เวทนา 

จึงเปียกปอนจีวรพาดขาดรุ่งริ่ง     

นับเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงศึกษา 
ทอดพระเนตรเห็นภิกษุที่จรมา      

 เวทนาสงสารปานทุกข์ตน 

จึงอนุญาตว่าต่อไปให้เปลี่ยนผ้า

พอถึงคราออกพรรษาหลังหน้าฝน 
ให้ภิกษุแสวงหาวัตถาตน

แล้วรวมพลสามัคคีมีผลงาน 

แสวงหาผ้าได้ให้เย็บตัด      

อนุมัติมอบให้ใจประสาน 
แด่ภิกษุใช้ผ้าเก่าที่ยาวนาน   

จีวรท่านเก่าคร่ำทำให้เธอ 

จุดมุ่งหมายวินัยกรรมทำตรงนี้            

พระองค์มีเจตนาอย่าให้เผลอ 
สร้างความรักสามัคคีดีนะเออ

ไม่บำเรอแต่บำรุงอบอุ่นใจ 

ให้พระสงฆ์หาผ้ามาประสาน  

เย็บติดกันแล้วยอมพร้อมกันให้ฯ 
เป็นกำเนิดแห่งนิติอธิปไตย   

ร่วมแรงใจแรงกายได้พลัง 

ปัจจุบันโยมญาติอยากได้บุญ       

 จึงลงทุนอาสาหาที่สร้าง 
รับภาระหาผ้ามาทอดวาง

 เป็นเส้นทางสู่บุญอุ่นดวงมาลย์ 

อีกทั้งช่วยพระสงฆ์ไม่ลำบาก       

 บริจาคปัจจัยด้วยช่วยประสาน 
เพื่อแปรรูปปัจจัยใช้หลายงาน            

แล้วแต่ท่านจะนำไปใช้ถูกกาล 

ขอขอบคุณทุกท่านในงานนี้        

ที่ได้มีความฝักใฝ่ใจประสาน 
ได้สละเวลามาร่วมงาน              

 สร้างผลทานสามัคคีมีวินัย 

ขออวยพรทุกท่านนั้นเป็นสุข

 หมดความทุกข์ขุ่นข้องจงผ่องใส 
จะไปสู่แห่งหนตำบลใด
สดใสและสุขีนิรันดร์เทอญ.ฯ 
.. 
อะจิรัง วะตะ ยัง กาโย ปะฐะวิง อธิเสสสะติ 
ฉุฑฺโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง. 

ไม่นานหอ กายนี้ จะนอนนิ่ง 

กายจะทิ้ง ตนลงแคร่ นอนแผ่หรา 
บนกองซาก กากดิน ถิ่นพสุธา 
ปราศวิญญาณ์ ดุจท่อนไม้ ไร้คนมอง. 



อนิจฺจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน 
อุปัชชิตะวา นิรุชฺฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโข.
 

อนิจจา สังขาร ไม่เที่ยงหนอ 
มีเกิดก่อ พังยุบ บุบสลาย 
เมื่อเกิดแล้ว ไม่จีรัง พังทลาย 
การเข้าไป ดับสังขาร นั้นสุขจริง.

พระภูมิน มรณภาพ เมื่อคืนวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

อาทิตตะ ปริยายสูตร พระพุทธตรัส
ทรงชี้ชัด เรื่องตา พาให้หมอง
รูปารมณ์ เข้าตา มาตามคลอง
หากจิตข้อง ไม่ระวัง ทุกขังตน

พระองค์ตรัส เปรียบเทียบ เฉียบคมนัก
เอาหลาวปัก แทงเนตร เล็ดถลน
เจ็บปวดแสน โอดโอยทรุด สุดเหลือทน
ดีกว่าคน ไม่หยุดยั้ง ระวังตา

เพราะเป็นเหตุ ผลเผ็ดร้อน ตอนตายได้
ตกอบาย นรกใหญ่ ไร้กังขา
หรือเกิดเป็น ดิรัจฉาน ไร้มารยา
องค์พุทธา ทรงชี้ชัด จึงตรัสเตือน

พระองค์ตรัส จักขุเช่น เป็นของร้อน
ให้สังวรณ์ ระวังใจ ไม่ฟั่นเฟือน
สติจับ ประทับวาง ไม่ลางเลือน
พระองค์เตือน ให้รับรู้ ดูเป็นกลาง

อย่าหลงใหล รูปที่พบ ประสบเห็น
วางใจเช่น สักว่าเห็น เป็นสิ่งว่าง
กำหนดดู รู้แล้วจบ กำหนดวาง
ไม่สร้างทาง เพื่อติดยึด ประพฤติเบา

ให้พิจารณา สู่ไตรลักษณ์ ประจักษ์แจ้ง
เพิ่มด้วยแรง ปัญญา ไม่บ้าเขลา
มองให้เห็น เป็นอนิจจัง ดุจดังเงา
ทุกขังเฝ้า อนัตตาชิด อย่าติดมัน

เพียงแค่นี้ จิตสะอาด สลัดได้
ชนกกรรม นำไป ให้สุขสันต์
ไม่ตกไป ในอบาย ร้ายอนันต์
จงจำกัน จักขุนทรีย์ เท่านี้เอย

ส่วนเรื่องหู จมูก ลิ้นกายใจ
ก็จงให้ ระวังหนา อย่านิ่งเฉย
สติดู รู้เท่าทัน เช่นดังเคย
หากละเลย จะเป็นบ่อน ร้อนดังไฟ

หูจะร้อน จมูกไหม้ กายใจรุ่ม
ดุจไฟสุม กองมหึมา พาร้องไห้
เสียงเข้าหู กลิ่นเข้าจมูก ทุกข์ร่ำไป
ไม่สนใจ ระวัง พังลูกเดียว

กายถูกต้อง อ่อนแข็ง แรงผัสสะ
ใจธรรมะ อธรรมใหญ่ ไม่แลเหลียว
ใจยินดี ยินร้าย ไปเพียวเพียว
เจอทางเลี้ยว สู่นรก ตกอบาย

มองทุกสิ่ง อย่างเข้าใจ ใช้สติ
จะมุตติ พ้นทุกข์ จะสุขใส
จะไม่ร้อน ทางอินทรีย์ ที่เอ่ยไป
จะผ่องใส ทั้งสองโลก ไม่โศกกันต์

...........................


 กลอนวันอาสาฬหบูชา


สาระธรรม คำกลอน วันอาสาฬหบูชา
วันกำเนิด เทศน์ปฐม บรมกัณฑ์
วันพระธรรม์ จักรเคลื่อน เดือนดิถี
วันพระองค์ ตรัสห้ามทาง บอกทางดี
วันพระศรี ชี้ทุกข์ กระตุกเรา

วันบอกเลศน์ เหตุทุกข์ ให้ฉุกคิด
วันวิกฤติ ถูกคลาย หายอับเฉา
วันบอกชอบ แปดอย่าง เส้นทางเรา
วันไร้เงา อวิชช์ จิตชื่นบาน
วันสวรรค์ สะเทือน เลื่อนลั่นฟ้า
วันเทวา สาธุจิต มิตรประสาน
วันตีแผ่ ความจริง ยิ่งยืนนาน
วันอรหันต์ สงฆ์สักขิ มิอาจลืม
วันพระพุทธ ดีพระทัย พร้อมได้ตรัส
วันพระหัตถ์ อ้ารับ นับสุดปลื้ม
วันลูกศิษย์ แจ้งคลาย หายอึมครีม
วันหมดครึ้ม เมฆกิเลส เลศน์มายา
วันพระองค์ ทรงเปล่ง คำว่า"หนอ"
วันพระพอ ถึงจุดหมาย หายกังขา
วันลูกศิษย์ เห็นร่วมกัน สังขารา
วันบรรพชา เอหิฯ ฐิติธรรม
วันตรัสบอก อนิจจา พาให้ทุกข์
วันชาวพุทธ น้อมวันทา หาพระสัมม์
วันครบไตร องค์สาม งามเลิศล้ำ
วันน้อมนำ ธรรมพิสุทธิ์ วิมุตติ์เอย..


กลอนวัดนวมนินทร์ บอสตั้น

ยี่สิบสี่ มิถุนา  ห้าห้าเก้า
ชาวพุทธเรา ในบอสตั้น นั้นสดใส
ได้สมโภช หลายอย่าง เส้นทางใจ
เหล่าคนไทย ในแมชชาฯ หน้าชื่นบาน

วัดนวมินทร์ฯ​ ร่วมกับ  สมัชชาฯ
มหึมา จัดงานใหญ่   ได้ประสาน
จัดฉลอง  ครองราชย์​ ปราชญ์ราชัน
ได้สร้างสรร หลายส่วน ล้วนเป็นบุญ

จัดสมโภช  องค์กร  ย้อนแลหา
ของสมัชชา  สงฆ์ไทย  ใจอุดหนุน
สี่สิบปี  อายุจบ  ครบบริบูรณ์
แผ่จำรูญ  คุณดำรง พระสงฆ์ไทย

พร้อมทำบุญ หนุนส่ง  ผู้คงมั่น
ผู้บากบั่น สร้างนวมินทร์ฯ​ สิ้นสงสัย
อายุวัฒนะฯ  พระพรหมฯ ทุ่มเทใจ
ท่านถึงวัย ใกล้แปดศูนย์  บุญนำพา

อีกทั้งจัด  สัมมนา  ปัญหาโศก
ชาวพุทธโลก ร่วมกัน นำปัญหา
มาสาธก  วิจัย  ได้ปัญญา
เพื่อนำมา  ตัดโศก วิโยคเรา

จัดเจริญ  วิปัสสนา หาทางรอด
ตัดมืดบอด  อวิชช์  จิตฉับเฉา
เห็นความจริง  สิ่งปกปิด ชีวิตเรา
พอทำเนา เล่าย่นย่อ  ยอผลงาน

ได้นิมนต์ พระพรห-มบัณฑิต
มาอุทิศ  เทศนา พาประสาน
ให้ข้อคิด สุดล้ำ ธรรมสราญ
นับเป็นงาน ที่ยิ่งใหญ่ ให้ได้ยล

วัดนวมินทร์ จัดใหญ่  ไว้หลายส่วน
ซึ่งก็ล้วน  ต่อทุน บุญกุศล
ได้เชิดชู  ราช,ประเทศ เขตของตน
เปิดเนตรชน ต่างประเทศ วิเศษจริง

ได้จัดงาน เปิดวัด  นัดพุทธชน
เพื่อให้ยล  ผลยิ่งใหญ่  ทำได้หนิง
เปิดสองปี  การสร้าง ทางเอาจริง
โบสถ์ที่ยิ่ง-.ใหญ่ล้น คนยินดี

ขอแต่งกลอน งานเพชร เก็บไว้อ่าน
บันทึกงาน ที่ใหญ่ ในครั้งนี้
อนุสรณ์  นึกรู้  ผู้ทำดี
จบวจี  กวีกลอน ท่อนท้ายเอย..

มรดกกรรม (กรรมพันธุ์) ปีไหน ก็ตามไปได้ 
.................................. 

จะขอกล่าว เล่าเป็นกลอน ย้อนทายทัก 
ชนภักดิ์ facebook ทุกถิ่นฐาน 
ถึงโรคภัย อย่างหนึ่ง ซึ่งรู้กัน 
คือเบาหวาน โจรร้าย ตายผ่อนปรน 

เบาหวานนั้น มีเหตุสอง ต้องศึกษา 
หนึ่งเกิดมา ทุกค่ำเช้า เราไม่สน 
เกิดจากกิน อาหารหวาน กันทุกคน 
จึงส่งผล ให้เป็นโรค ไม่โทษใคร 

สองเกิดจาก กรรมพันธุ์ ที่สรรสร้าง 
เป็นต้นทาง ส่งตอบ มอบมาให้ 
เกิดจากคน ในสายเลือด ไม่เลือกใคร 
โรคภายใน สายเลือดกรรม ทำให้เป็น 

เช่นปู่เป็น พ่อแม่เป็น ประเคนก่อน 
เลยกลับย้อน ส่งถึงเรา เข้าตรงเผ็ง 
มรกดก สายเลือดกรรม ทำให้เป็น 
ไม่พูดเล่น เป็นสองเหตุ สังเกตดู 

รายละเอียด เชิงลึก ปรึกษาหมอ 
ข้อมูลพอ เข้าไว้มาก จากแหล่งรู้ 
เพราะเบาหวาน ตอนนี้เอก เฉกโรคครู 
ศึกษารู้ อยู่จนคลาน เนิ่นนานปี 

จากที่อ่าน พอคร่าวคร่าว เอากระชับ 
เกิดจากตับ เมินการ งานหน้าที่ 
ตับอ่อนหยุด ไม่ผลิต อินซูรีน์ 
เป็นแรมปี เราเลยแย่ แผ่น้ำตาล 

มอบภาระ ให้หัวใจ ทำงานหนัก 
น้ำทะลัก รสหวานมุด สุดจะต้าน 
หัวใจแย่ ไตทรุด สุดซมซาน 
โดนน้ำตาล เข้ายึด ให้นึกเอา 

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เช่น เป็นเบาหวาน 
ก็ซมซาน เข้าห้องน้ำ อย่างเร่งเร้า 
เยี่ยวกลางดึก ปล่อยน้ำตาล ผ่านตัวเรา 
คำว่า"เบา" ก็คือเยี่ยว อันเดียวกัน 

อันเบาหวาน คือเยี่ยวหวาน ควานหาศัพท์ 
ตอนนี้จับ ความได้ ให้ปิดกั้น 
จงรักษา ตามอาการ ตามรู้ทัน 
ขอจงหมั่น ทำหมอบอก จะปลอดภัย


พุทธประสงค์ "ชนหมู่มาก" 
............................................. 

ถึงปีใหม่ ใจสบาย ให้นึกย้อน 
ถึงคำสอน องค์พุทธตรัส มหัปผล 
เธอจงทำ เพื่อประโยชน์ มหาชน 
ให้เกิดผล ชนหมู่มาก หลายหลากตอน 

จะระถะ ภิกขะเว ฯลฯเทเสถะ 
องค์พุทธะ ทรงพร่ำ ฝากคำสอน 
จงเกื้อกูล แผ่เผื่อ เอื้ออาทร 
ครบทุกตอน หิตะประโยชน์ ไร้โทษทัณฑ์ 

จงสอนหมู่ พหูชน คนหมู่มาก 
จงให้คลาด จากความทุกข์ ให้สุขสันต์ 
จงเที่ยวไป รูปเดียว เที่ยวจำนรรจ์ 
สู่โลกันต์ สอนธรรมะ พหูชน 

จงสอนธรรม อันงาม ตามพระองค์ 
งามเบื้องต้น ท่ามกลาง อย่างได้ผล 
งามที่สุด วิมุตติธรรม นำปวงชน 
ประกาศผล พรหมจรรย์ อันเกริกไกร 

ทั้งอรรถะ พยัญชนะ อย่าบกพร่อง 
เป็นธรรมทอง บริสุทธฺ์ ชุดยิ่งใหญ่ 
ตั้งเมตตา ธัมเมกข์ เขตเวไนย์ 
เพื่อให้ได้ ชิมรส บทพระธรรม 

ทรงเป็นห่วง ปวงชน คนหมู่มาก 
ทรงประกาศ สิ่งพิสุทธิ์ พิเศษล้ำ 
ตรัสบอกทาง สะอาด ประกาศพระธรรม 
ให้เดินตาม ครรลองปราชญ์ พระศาสดา 

ขอฝากย้อน กลอนธรรมะ พระพุทธตรัส 
ให้เห็นชัด พุทธจำนรรจ์ กันไว้หนา 
พระองค์ตรัส ให้รับรู้ พหูชนา 
สุขโลกา นั้นสำคัญ เท่านั้นเอย.. 


บาลีรับรอง พร้อมคำแปล 

จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ.มา เอเกน เทฺว อคมิตฺถ, เทเสถ ธมฺมํ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ, สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสถ, สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺข ชาติกา อสฺสวนฺตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ, ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร, อหมฺปิ ภิกฺขเว, เยน อุรุเวลา เสนานิคโม เตนุปสงฺกมิสฺสามิ ธมฺมเทสนายาติ. 
....................................................... 
"เธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่คนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ ขอจงอย่าได้ไปรวมทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ ครบ บริสุทธ์บริบูรณ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม” 
(วิ. มหา. 4/32/ 40)




กลอนสรุปการจัดงานที่วัดวชิรธรรมปทีป 
๑๐และ๑๑ กันยาฯ ๕๙


จบลงแล้ว อย่างสวยงาม งานครั้งนี้
เป็นเอกีฯ ยิ่งใหญ่ ให้ศึกษา
วัดวชิระฯ ร่วมกับ สมัชชาฯ
จตุธา สี่ส่วน ล้วนเป็นบุญ.

หนึ่งประชุม เจ้าอาวาส วิลาสล้น
ได้รวมพล สามัคคี มีอุดหนุน
รวมผนึก กำลัง งานค้ำจุน
แด่พระคุณ-เจ้าวัด พัฒนัง

ส่วนที่สอง ทวิธา มหารำลึก
พาน้อมนึก ถึงพระเก่า เล่าความหลัง
บุญอุทิศ ถึงพระสงฆ์ องค์มรณัง
เพิ่มพลังฯ คนใหม่ จัดได้ดี

ส่วนที่สาม ฉลองวัด วชิระฯ
ตาฬีสะ อายุงาม อารามศรี
สีสิบผ่าน อุดหนุน บุญทวี
ปภัสสีร์ ปีทอง ฉลองกัน

ส่วนสุดท้าย งานโปรด สมโภชพระ
องค์ราชะ ทรงยกย่อง ครองสุขสันต์
เจ้าอาวาส ดำรง องค์ปัจจุบัน
เพราะท่านนั้น ได้เจ้าคุณ อุ่นดวงมาลย์

งานสีส่วน ครั้งนี้ มีครบชุด
ต่างเร่งรุด ร่วมด้วย ช่วยประสาน
สามัคคี รูปธรรม ล้ำเลิศงาน
ร่วมสืบสาน ประเพณี ครั้งนี้เอย.

ขอขอบคุณ สาธุชน เหล่าโยมญาติ
อย่างองอาจ ร่วมใจ ไม่นิ่งเฉย
อุปภัมภ์ ค้ำจุนจัง เช่นดังเคย
สุดจะเอ่ย พรรณนา หาคำชม

สมัชชาฯ ร่วมกับ วัดวชิระฯ
มีธรรมะ คำพรมา ผสาผสม
ให้ความสุข ทุกทิวา มาพร่างพรม
ให้สุขสม ดังปราถน์ วิลาศเทอญ.. 


สรุปการจัดงานที่วัดวชิระฯเมื่อวันที่ ๑๐ และ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๙ 


จบลงแล้ว อย่างสวยงาม งานครั้งนี้
เป็นเอกีฯ ยิ่งใหญ่ ให้ศึกษา
วัดวชิระฯ ร่วมกับ สมัชชาฯ
จตุธา สี่ส่วน ล้วนเป็นบุญ.

หนึ่งประชุม เจ้าอาวาส วิลาสล้น
ได้รวมพล สามัคคี มีอุดหนุน
รวมผนึก กำลัง งานค้ำจุน
แด่พระคุณ-เจ้าวัด พัฒนัง
ส่วนที่สอง ทุติยา มหารำลึก
พาน้อมนึก ถึงพระเก่า เล่าความหลัง
บุญอุทิศ ถึงพระสงฆ์ องค์มรณัง
เพิ่มพลังฯ คนใหม่ จัดได้ดี
ส่วนที่สาม ฉลองวัด วชิระฯ
ตาฬีสะ อายุงาม อารามศรี
สีสิบผ่าน อุดหนุน บุญทวี
ปภัสสีร์ ปีทอง ฉลองกัน
ส่วนสุดท้าย งานโปรด สมโภชพระ
องค์ราชะ ทรงยกย่อง ครองสุขสันต์
เจ้าอาวาส ดำรง องค์ปัจจุบัน
เพราะท่านนั้น ได้เจ้าคุณ อุ่นดวงมาลย์
งานสี่ส่วน ครั้งนี้ มีครบชุด
ต่างเร่งรุด ร่วมด้วย ช่วยประสาน
สามัคคี รูปธรรม ล้ำเลิศงาน
ร่วมสืบสาน ประเพณี ครั้งนี้เอย.
ขอขอบคุณ สาธุชน เหล่าโยมญาติ
อย่างองอาจ ร่วมใจ ไม่นิ่งเฉย
อุปภัมภ์ ค้ำจุนจัง เช่นดังเคย
สุดจะเอ่ย พรรณนา หาคำชม
สมัชชาฯ ร่วมกับ วัดวชิระฯ
มีธรรมะ คำพรมา ผสาผสม
ให้ความสุข ทุกทิวา มาพร่างพรม
ให้สุขสม ดังปราถน์ วิลาศเทอญ..




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น