คลังธรรม (พิมพ์บันทึกไว้เมื่อ ๕ ก.พ.๖๐ ณ วัดป่าซัมเตอร์ เมื่อครั้งมาเยือน)
ธรรมะบันทึก
หมวด ๑
โอวาทปาติโมกขกถา
ว่าด้วยหลักพุทธศาสน์
ที่มา: ปาติโมกขุทเทส มหาปทานสูตร ที.ม.๑๐/๙๐. อานันทเถรปัญหาวัตถุ พุทธวรรค
ขุ.ธ ๒๕/๑๘๓-๑๔๕
โอวาทปาติโมกขกถา
ว่าด้วยหลักพุทธศาสน์
ที่มา: ปาติโมกขุทเทส มหาปทานสูตร ที.ม.๑๐/๙๐. อานันทเถรปัญหาวัตถุ พุทธวรรค
ขุ.ธ ๒๕/๑๘๓-๑๔๕
อุดมการณ์
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
แปล: ความอดทนคือความอดกลั้น เป็นตบะ(ธรรมสำหรับเผาบาป) ที่ยอดยิ่ง ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวสรรเสริญพระนิพพานว่าเป็นธรรมที่ยอดยิ่ง ผู้ที่ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลยฯ
หลักการ
สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ
แปล : การไม่ทำบาปทั้งปวง ๑ การทำความดีให้ถึงพร้อม ๑
การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว ๑ นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
วิธีการ
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทธานสาสนํฯ
แปลว่า: การไม่ว่าร้ายใคร ๑ การไม่ทำร้ายใคร ๑ การสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ๑
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
แปล: ความอดทนคือความอดกลั้น เป็นตบะ(ธรรมสำหรับเผาบาป) ที่ยอดยิ่ง ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวสรรเสริญพระนิพพานว่าเป็นธรรมที่ยอดยิ่ง ผู้ที่ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลยฯ
หลักการ
สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ
แปล : การไม่ทำบาปทั้งปวง ๑ การทำความดีให้ถึงพร้อม ๑
การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว ๑ นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
วิธีการ
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทธานสาสนํฯ
แปลว่า: การไม่ว่าร้ายใคร ๑ การไม่ทำร้ายใคร ๑ การสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ๑
การรู้จักประมาณในอาหาร ๑ การนอนการนั่งในที่สงัด ๑ การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑
นี้เป็นคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าทั้งหลายฯ
นี้เป็นคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าทั้งหลายฯ
สัทธัมมคารวกถา
ว่าด้วยการเคารพพระสัทธรรม
ที่มา: (พรหมภาษิต) คารวสูตร พรหมสังยุต สํ.ส. ๑๕/๑๗๓
ตสฺมา หิ อตฺตกาเมน มหตฺตมภิกงฺขตา
สทฺธมฺโม ครุกาตพฺโพ สรํ พุทธานสาสนํ ฯ
แปล: เพราะเหตุนั้นแล บุคคลผู้รักตนเมื่อจำนงความยิ่งใหญ่ก็พึงระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลราย ทำความเคารพพระสัทธรรมเถิดฯ
พุทธรัตนกถา
ว่าด้วยรัตนะคือพระพุทธเจ้า
ที่มา: รตนสูตร ขุ.ขุ. ๒๕/๓
ยงฺกิญฺจิ วิตฺตํ อิธ วา หุรํ วา
สคฺเคสุ วา ยํ รตนํ ปณีตํ
น โน สมํ อตฺถิ ตถาคเตน
อิทมฺปิ พุทฺเธ รตนํ ปณีตํฯ
แปล: ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่งบนโลกนี้ก็ดี ในโลกอื่นก็ดี หรือรัตนะที่ประณีตในสรวงสวรรค์ ที่จะเสมอด้วยพระตถาคต ไม่มีเลย พระพุทธรัตนะนี้ เท่านั้น เป็นรัตนะที่ประณีต ฯ
ธัมมรัตนกถา
ว่าด้วยรัตนะคือพระธรรม
ที่มา: รตนสูตร ขุ.ขุ. ๒๕/๔
ขยํ วิราคํ อมตํ ปณีตํ
ยทชฺฌคา สกฺยมุนี สมาหิโต
น เตน ธมฺเมน สมตฺถิ กิญฺจิ
อิทมฺปิ ธมฺเม รตนํ ปณีตํ ฯ
แปล: ธรรมชาติคืออะไรๆ ที่เสมอด้วยพระธรรมอันประณีต เป็นที่สิ้นกิเลส เป็นที่สำรอกกิเลส เป็นอมตะ อันพระศากยมุนีผู้ทรงมีพระทัยมั่นคงทรงบรรลุแล้วไม่มีเลย พระธรรมรัตนะนี้ เท่านั้น เป็นรัตนะที่ประณีต ฯ
สังฆรัตนกถา
ว่าด้วยรัตนะคือพระสงฆ์
ที่มา: รตนสูตร ขุ.ขุ. ๒๕/๖
เย ปุคฺคลา อฎฺฐ สตํ ปสฏฺฐา
จตฺตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนฺติ
เต ทกฺขิเณยฺยา สุคตสฺส สาวกา
เอเตสุ ทินฺนานิ มหปฺผลานิ
อิทมฺปิ สงฺเฆ รตนํ ปณีตํ ฯ
แปล: พระอริยบุคคล ๘ จัดเป็น ๔ คู่ ที่สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญแล้ว เป็นสาวกของพระสุคตเจ้า ผู้ควรแก่ทักษิณาทาน ทานที่บุคคลถวายแล้วเหล่านั้น ย่อมมีผลานิสงส์มาก พระสังฆรัตนะนี้เท่านั้น ที่ประณีต ฯ
เขมสรณกถา
ว่าด้วยที่พึ่งอันเกษม
ที่มา: อัคคิทัตตพราหมณวัตถุ พุทธวรรค ขุ.ธ. ๒๕/๑๙๐,๑๙๒
โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ สรณํ คโต
จตฺตาริ อริยสจฺจานิ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ ฯ
เอตํ โข สรณํ เขมํ เอตํ สรณมุตฺตมํ ฯ
แปล: ผู้ใดถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่ง และเห็นอริยสัจจ์ ๔ แล้ว ด้วยปัญญาอันสงบ สรณะของผู้นั้น เป็นสรณะอันเกษม เป็นสรณะอันสูงสุด ฯ
อัคคทานานิสังสกถา
ว่าด้วยอานิสงส์ทานอันเลิศ
ที่มา: อัคคัปปสาทสูตร ปัญจมวรรค ติกนิบาต ขุ.อิติ.๒๕/๙๐
อคฺคสฺมึ ทานํ ททตํ อคฺคํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ
อคฺคํ อายุ จ วณฺโณ จ ยโส กิตฺติ สุขํ พลํ ฯ
แปล: เมื่อถวายทานในวัตถุอันเลิศ (พระรัตนตรัย) บุญอันเลิศย่อมเจริญเรื่อยไป อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุข และพละอันเลิศก็จะเจริญเรื่อยไป ฯ
กาลทานกถา
ว่าด้วยทานที่ถวายตามกาล
ที่มา: กาลทานสูตร สุมนวรรค ปฐมปัณณาสก์ องฺ.ปญฺจก.๒๒/๗๖
กาเล ททนฺติ สปญฺญา วทญฺญู วีตมจฺฉรา
กาเลน ทินฺนํ อริเยสุ อูชุภูเตสุ ตาทิสุ
วิปฺปสนฺนมนา ตสฺส วิปุลา โหติ ทกฺขิณา ฯ
แปล: ชนเหล่าใดเป็นผู้มีปัญญา รู้ความประสงค์ ปราศจากความตระหนี่ มีใจเลื่อมใสแล้วในพระอริยเจ้าทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ตรงคงที่ บริจาคทานที่ถวายตามกาลในกาลสมัย ทักษิณาของเขาย่อมเจริญมีผลไพบูลย์ ฯ
โภชนทานกถา
ว่าด้วยการถวายอาหาร
ที่มา: โภชนสูตร สุมนวรรค ปฐมปัณณาสก์ องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๓๗
อายุโท พลโท ธีโร วณฺณโท ปฏิภาณโท
สุขสฺส ทาตา เมธาวี สุขํ โส อธิคจฺฉติ ฯ
แปล: ปราชญ์ผู้มีปัญญาให้อายุย่อมได้อายุ ให้พละย่อมได้พละ ให้วรรณะย่อมได้วรรณะ ให้ปฏิภาณ ย่อมได้ปฏิภาณ ให้สุข ย่อมได้สุข ฯ
วิหารทานกถา
ว่าด้วยการถวายวิหาร (ที่อยู่อาศัย)
ที่มา: เสนาสนขันธกะ วิ.จุล. ๗/๕๓
เลณตฺถญฺจ สุขตฺถญฺจ ฌายิตุญฺจ วิปสฺสิตํุ
วิหารทานํ สงฺฆสฺส อคฺคํ พุทฺเธหิ วณฺณิตํ ฯ
แปล: การถวายวิหาร (ที่อยู่อาศัย) แก่สงฆ์เพื่อหลีกเร้น เพื่อความสุข เพื่อเพ่งพิจารณา และเพื่อเห็นแจ้ง พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่าเป็นทานที่ดีเลิศ ฯ
......................................
......................................
ปุญญนิธิกถา
ว่าด้วยขุมทรัพย์คือบุญ
ที่มา: นิธิกัณฑสูตร ขุ.ขุ. ๒๕/๖.๘
ยสฺส ทาเนน สีเลน สญฺญเมน ทเมน จ
นิธิ สุนิหิโต โหติ อิตฺถิยา ปุริสสฺส วา
เอโส นิธิ สุนิหิโต อเชยฺโย อนุคามิโก
ปหาย คมนีเยสุ เอตํ อาทาย คจฺฉติ ฯ
แปล: ขุมทรัพย์คือบุญอันผู้ใดจะเป็นสตรีหรือบุรุษก็ตามฝังไว้ดีแล้ว ด้วยทาน ศีล ความสำรวม และความฝึกตน ขุมทรัพย์นั้นชื่อว่าฝังไว้ดีแล้ว อันใครๆ ไม่อาจผจญได้ เป็นของติดตามตนไปได้ บรรดาทรัพย์สมบัติที่บุคคลจะต้องละทิ้งไป (ยังปรโลก) บุคคลจะนำไปได้ก็เพียงขุมทรัพย์คือบุญเท่านั้น ฯ
.............................................
.............................................
ติโรกุฑฑกถา
ว่าด้วยการทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย
ที่มา: ติโรกุฑฑสูตร ขุ.ขุ. ๒๕/๓
เอวํ ททนฺติ ญาตีนํ เย โหนฺติ อนุกมฺปกา
สุจึ ปณีตํ กาเลน กปฺปิยํ ปานโภชนํ
อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย ฯ
แปล: เหล่าชนที่มีความเอ็นดูพากันให้ข้าวและน้ำที่สะอาด ประณีต อันเป็นของสมควรแก่ญาติทั้งหลายตามกาล ด้วยเจตนาอุทิศอย่างนี้ว่า ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุขๆ เถิด ฯ
........................................................
........................................................
ที่มา: ติโรกุฑฑสูตร ขุ.ขุ. ๒๕/๗
อุนฺนเต อุทกํ วุฏฺฐํ ยถา นินฺนํ ปวตฺตติ
เอวเมว อิโต ทินฺนํ เปตานํ อุปกปฺปติ ฯ
แปล: น้ำฝนที่ตกในที่ดอนย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ผลทานที่ให้แล้วแต่มนุษย์โลกนี้ ก็ย่อมสำเร็จแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ฉันนั้น ฯ
........................................................
ที่มา: ติโรกุฑฑสูตร ขุ.ขุ. ๒๕/๙
อกาสิ เม อกาสิ เม ญาติมิตฺตา สขา จ เม
เปตานํ ทกฺขิณํ ทชฺชา ปุพฺเพ กตมนุสฺสรํ ฯ
แปล: เมื่อมาระลึกถึงอุปการะคุณที่ท่านทำไว้ในหนหลังว่า "ผู้นี้ ได้เคยให้สิ่งนี้แก่เรา ผู้นี้ได้เคยทำสิ่งนี้แก่เรา ผู้นี้เคยเป็นญาติของเรา ผู้นี้เคยเป็นมิตร ของเรา ผู้นี้เคยเป็นเพื่อนเรา ดังนี้ ก็ควรให้ทักษิณาทานเพื่อผู้ล่วงลับไปแล้ว (เหล่านั้น) ฯ
......................................................
ที่มา: ติโรกุฑฑสูตร ขุ.ขุ. ๒๕/๑๑
อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา สงฺฆมฺหิ สุปติฏฺฐิตา
ทีฆรตฺตํ หิตายสฺส ฐานโส อุปกปฺปติ ฯ
แปล ก็ทักษิณาทานนี้แลเป็นอันตั้งใจถวายไว้ดีแล้วในสงฆ์ ย่อมสำเร็จผลเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ล่วงลับแล้วนั้น โดยฉับพลันตลอดกาลนาน ฯ
.....................................................
ที่มา: ติโรกุฑฑสูตร ขุ.ขุ. /๑๒
โส ญาติธมฺโม จ อยํ นิทสฺสิโต
เปตาน ปูชา จ กตา อุฬารา
พลญฺจ ภิกฺขูนมนุปฺปทินฺนํ
ตุมฺเหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปกํ ฯ
แปล: ท่านทั้งหลายได้แสดงญาติธรรมนี้ให้ปรากฏแล้ว ได้ทำการบูชาที่ย่ิงใหญ่ เพื่อหมู่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้เพิ่มเสริมกำลังแก่ภิกษุทั้งหลาย ชื่อกว่าขวนขวายบุญไม่น้อยเลย ฯ
......................................................
เทวตาทิสสกถา
ว่าด้วยการทำบุญอุทิศแก่เทวดา
ที่มา: ปาฏลิคามิยสูตร ปาฏลิคามิยวรรค ขุ.อุ. ๒๕/๗๖
ยสฺมึ ปเทเส กปฺเปติ วาสํ ปณฺฑิตชาติโย
สีลวนฺเตตฺถ โภเชตฺวา สญฺญเต พฺรหฺมจาริโน
ยา ตตฺถ เทวตา อาสุํ ตาสํ ทกฺขิณมาทิเส ฯ
แปล: นรชนผู้เป็นบัณฑิตอาศัยอยู่ในถิ่นที่ใด ควรเชื้อเชิญท่านผู้มีศีล สำรวมอินทรีย์ ประพฤติพรหมจรรย์ในถิ่นนั้นให้บริโภค และควรอุทิศทักษิณาทานให้แก่เหล่าเทวดาที่สถิตอยูทในสถานที่นั้นด้วย ฯ
ตา ปูชิตา ปูชยนฺติ มานิตา มานยนฺติ นํ
ตโต นํ อนุกมฺปนฺติ มาตา ปุตฺตํว โอรสํ ฯ
แปล: บรรดาท่านผู้มีศีลและเหล่าเทวดาที่ได้รับการบูชาแล้ว ย่อมบูชาผู้นั้นตอบ ที่ได้รับการนับถือแล้วย่อมนับถือตอบ จากนั้นก็จะคอยอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้นั้น เหมือนกับมารดาคอยอนุเคระห์บุตรธิดา ฉะนั้น ฯ
...............................................................
ทานานิสังสกถา
ว่าด้วยอานิสงส์แห่งทาน (นัยที่ ๑)
ที่มา: กิงททสูตร เทวตาสังยุต สํ.ส. ๑๕/๔๒
อนฺนโท พลโท โหติ วตฺถโท โหติ วณฺณโท
ยานโท สุขโท โหติ ทีปโท โหติ จกฺขุโท ฯ
แปล: ผู้ให้อาหารชื่อว่าให้กำลัง ผู้ให้ผ้าชื่อว่าให้วรรณะ ผู้ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสุข ผู้ให้ประทีปโคมไฟ ชื่อว่าให้ดวงตา ฯ
...................................................................
ทานานิสังสกถา
ว่าด้วยอานิสงส์แห่งทาน (นัยที่ ๒)
ที่มา: กิงททสูตร เทวตาสังยุต สํ.ส.๑๕/๔๒
โส จ สพฺพทโท โหติ โย ททาติ อุปสฺสยํ
อมตนฺทโท จ โส โหติ โย ธมฺมมนุสาสติ ฯ
แปล: บุคคลใดใหที่พักอาศัย บุคคลนั้นชื่อว่าให้ทุกสิ่ง ส่วนบุคคลใดพร่ำสอนธรรมให้ บุคคลนั้นชื่อว่าให้อมตะคือสิ่งที่ไม่ตาย ฯ
...................................................................
อันนทานกถา
ว่าด้วยอานิสงส์กาถวายอาหาร
ที่มา: อันนสูตร เทวตาสังยุต สํ.ส.๑๕/๔๓
เย นํ ททนฺติ สทฺธาย วิปฺปสนฺเนน เจตสา
ตเมว อนฺนํ ภชติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ ฯ
ตสฺมา วิเนยฺย มจฺเฉรํ ทชฺชา ทานํ มลาภิภู
ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ ฯ
แปล: ชนเหล่าใดมีใจผ่องใสให้อาหารนั้นด้วยศรัทธา อาหารนั้นเองย่อมค้ำชูทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพราะเหตุนัน พึงกำจัดความตระหนี่เสีย ข่มความตระหนี่ที่เป็นตัวมลทินให้ได้แล้วให้ทานเถิด เพราะบุญทั้งหลายเป็นที่พึ่งของสัตว์เหล่านั้นในโลกหน้า ฯ
...................................................................
มรณกถา
ว่าด้วยความตาย (นัยที่ ๑)
ที่มา: มหาปรินิพพานสูตร ที.ม. ๑๐/๑๘๕
ยถาปิ กุมฺภการสฺส กตํ มตฺติกภาชนํ
ขุทฺทกญฺจ มหนฺตญฺจ ยญฺจ ปกฺกํ ยญฺจ อามกํ
สพฺพํ เภทปริยนฺตํ เอวํ มจฺจานชีวิตํ ฯ
แปล: ภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้นไว้ ไม่ว่าขนาดเล็กใหญ่ ไม่ว่าสุกหรือดิบ ทั้งหมดล้วนมีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด ชีวิตของสัตว์โลกทั้งหลายก็มีความแตกดับเป็นที่สุด ฉันนัน ฯ
...................................................................
มรณกถา
ว่าด้วยความตาย (นัยที่ ๒)
ที่มา: อุตราเถรีวัตถุ ชราวรรค ขุ.ธ. ๒๕/๑๘๘
ปริชิณฺณมิทํ รูปํ โรคนิทฺธํ ปภงฺคุณํ
ภิชฺชติ ปูติสนฺเทโห มรณนฺตํ หิ ชีวิตํ ฯ
แปล: ร่างกายนี้แก่แล้ว เป็นรังของโรค ทรุดโทรมผุพังไป ร่างกายอันเปื่อยเน่า ย่อมแตกดับไป เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด ฯ
...................................................................
จตุปุคคลกถา
ว่าด้วยบุคคล ๔ ประเภท
ที่มา: มหาปรินิพพานสูตร ที.ม.๑๐/๑๙๗
ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ
สํยมโต เวรํ น จียติ
กุสโล ว ชหาติ ปาปกํ
ราคโทสโมหกฺขยา นิพฺพุโต ฯ
แปล: บุญย่อมเพิ่มพูนขึ้นแก่ผู้ให้ทาน เวรย่อมไม่เกิดแก่ผู้สำรวมระวัง ผู้ฉลาดเท่านั้นย่อมละบาปได้ ผู้ชื่อว่าดับเย็นเพราะราคะ โทสะ โมหะสิ้นไป ฯ
...................................................................
ปัจฉิมโอวาทกถา
ว่าด้วยพระปัจฉิมโอวาท
ที่มา: มหาปรินิพพานสูตร ที.ม. ๑๐/๒๑๘
หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ฯ
แปล: ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขาร มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้บริบูรณ์ ด้วยความไม่ประมาทเถิด ฯ
...................................................................
นฆราวาสกถา
ว่าด้วยผู้ไม่อาจครองเรือนให้ดีได้
ที่มา: สิงคาลกสูตร ที. ปา. ๑๑/๒๕๓
น ทิวา สุปฺปสีเลน รตฺตินุฏฺฐานเทสฺสินา
นิจฺจํ มตฺเตน โสณฺเฑน สกฺกา อาวสิตุํ ฆรํ ฯ
แปล: คนที่ชอบนอนตอนกลางวัน เกลียดการลุกขึ้นตอนกลางคืน เมาสุราประจำ เป็นนักเล ไม่อาจครองเรือนให้ดีได้ ฯ
...................................................................
กุสีตปุคคลกถา
ว่าด้วยเรื่องของคนเกียจคร้าน
ที่มา: สิงคาลกสูตร ที.ปา. ๑๑/๒๕๓
อติสีตํ อติอุณฺหํ อติสายมิทํ อหุ
อิติ วิสฺสฏฺฐกมฺมนฺเต อตฺถา อจฺเจนฺติ มาณเว ฯ
แปล: ผลประโยชน์ทั้งหลายย่อมผ่านเลยคนที่ชอบอ้างว่า หนาวเกินไป ร้อนเกินไป เวลานี้สายเสียแล้ว ดังนี้ เป็นต้น แล้วทิ้งงานทิ้งการเสีย ฯ
...................................................................
คลังธรรมเล่ม ๑ (คลิ๊ก)
คลังธรรมเล่ม ๒. (คลิ๊ก)
คลังธรรมเล่ม ๓. (คลิ๊ก)
ห้องธรรมะแจก https://kalyanamitra.org/book/index_dhammabook.php
......................................................................................................
youtubeธรรมะวัดโสพิชฯจ.อุบล https://www.youtube.com/user/WatPitch/videos
เว็บหลักวัดโสพิชฯ http://www.watpitch.com/index.php
........................................................
ที่มา: ติโรกุฑฑสูตร ขุ.ขุ. ๒๕/๙
อกาสิ เม อกาสิ เม ญาติมิตฺตา สขา จ เม
เปตานํ ทกฺขิณํ ทชฺชา ปุพฺเพ กตมนุสฺสรํ ฯ
แปล: เมื่อมาระลึกถึงอุปการะคุณที่ท่านทำไว้ในหนหลังว่า "ผู้นี้ ได้เคยให้สิ่งนี้แก่เรา ผู้นี้ได้เคยทำสิ่งนี้แก่เรา ผู้นี้เคยเป็นญาติของเรา ผู้นี้เคยเป็นมิตร ของเรา ผู้นี้เคยเป็นเพื่อนเรา ดังนี้ ก็ควรให้ทักษิณาทานเพื่อผู้ล่วงลับไปแล้ว (เหล่านั้น) ฯ
......................................................
ที่มา: ติโรกุฑฑสูตร ขุ.ขุ. ๒๕/๑๑
อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา สงฺฆมฺหิ สุปติฏฺฐิตา
ทีฆรตฺตํ หิตายสฺส ฐานโส อุปกปฺปติ ฯ
แปล ก็ทักษิณาทานนี้แลเป็นอันตั้งใจถวายไว้ดีแล้วในสงฆ์ ย่อมสำเร็จผลเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ล่วงลับแล้วนั้น โดยฉับพลันตลอดกาลนาน ฯ
.....................................................
ที่มา: ติโรกุฑฑสูตร ขุ.ขุ. /๑๒
โส ญาติธมฺโม จ อยํ นิทสฺสิโต
เปตาน ปูชา จ กตา อุฬารา
พลญฺจ ภิกฺขูนมนุปฺปทินฺนํ
ตุมฺเหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปกํ ฯ
แปล: ท่านทั้งหลายได้แสดงญาติธรรมนี้ให้ปรากฏแล้ว ได้ทำการบูชาที่ย่ิงใหญ่ เพื่อหมู่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้เพิ่มเสริมกำลังแก่ภิกษุทั้งหลาย ชื่อกว่าขวนขวายบุญไม่น้อยเลย ฯ
......................................................
เทวตาทิสสกถา
ว่าด้วยการทำบุญอุทิศแก่เทวดา
ที่มา: ปาฏลิคามิยสูตร ปาฏลิคามิยวรรค ขุ.อุ. ๒๕/๗๖
ยสฺมึ ปเทเส กปฺเปติ วาสํ ปณฺฑิตชาติโย
สีลวนฺเตตฺถ โภเชตฺวา สญฺญเต พฺรหฺมจาริโน
ยา ตตฺถ เทวตา อาสุํ ตาสํ ทกฺขิณมาทิเส ฯ
แปล: นรชนผู้เป็นบัณฑิตอาศัยอยู่ในถิ่นที่ใด ควรเชื้อเชิญท่านผู้มีศีล สำรวมอินทรีย์ ประพฤติพรหมจรรย์ในถิ่นนั้นให้บริโภค และควรอุทิศทักษิณาทานให้แก่เหล่าเทวดาที่สถิตอยูทในสถานที่นั้นด้วย ฯ
ตา ปูชิตา ปูชยนฺติ มานิตา มานยนฺติ นํ
ตโต นํ อนุกมฺปนฺติ มาตา ปุตฺตํว โอรสํ ฯ
แปล: บรรดาท่านผู้มีศีลและเหล่าเทวดาที่ได้รับการบูชาแล้ว ย่อมบูชาผู้นั้นตอบ ที่ได้รับการนับถือแล้วย่อมนับถือตอบ จากนั้นก็จะคอยอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้นั้น เหมือนกับมารดาคอยอนุเคระห์บุตรธิดา ฉะนั้น ฯ
...............................................................
ทานานิสังสกถา
ว่าด้วยอานิสงส์แห่งทาน (นัยที่ ๑)
ที่มา: กิงททสูตร เทวตาสังยุต สํ.ส. ๑๕/๔๒
อนฺนโท พลโท โหติ วตฺถโท โหติ วณฺณโท
ยานโท สุขโท โหติ ทีปโท โหติ จกฺขุโท ฯ
แปล: ผู้ให้อาหารชื่อว่าให้กำลัง ผู้ให้ผ้าชื่อว่าให้วรรณะ ผู้ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสุข ผู้ให้ประทีปโคมไฟ ชื่อว่าให้ดวงตา ฯ
...................................................................
ทานานิสังสกถา
ว่าด้วยอานิสงส์แห่งทาน (นัยที่ ๒)
ที่มา: กิงททสูตร เทวตาสังยุต สํ.ส.๑๕/๔๒
โส จ สพฺพทโท โหติ โย ททาติ อุปสฺสยํ
อมตนฺทโท จ โส โหติ โย ธมฺมมนุสาสติ ฯ
แปล: บุคคลใดใหที่พักอาศัย บุคคลนั้นชื่อว่าให้ทุกสิ่ง ส่วนบุคคลใดพร่ำสอนธรรมให้ บุคคลนั้นชื่อว่าให้อมตะคือสิ่งที่ไม่ตาย ฯ
...................................................................
อันนทานกถา
ว่าด้วยอานิสงส์กาถวายอาหาร
ที่มา: อันนสูตร เทวตาสังยุต สํ.ส.๑๕/๔๓
เย นํ ททนฺติ สทฺธาย วิปฺปสนฺเนน เจตสา
ตเมว อนฺนํ ภชติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ ฯ
ตสฺมา วิเนยฺย มจฺเฉรํ ทชฺชา ทานํ มลาภิภู
ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ ฯ
แปล: ชนเหล่าใดมีใจผ่องใสให้อาหารนั้นด้วยศรัทธา อาหารนั้นเองย่อมค้ำชูทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพราะเหตุนัน พึงกำจัดความตระหนี่เสีย ข่มความตระหนี่ที่เป็นตัวมลทินให้ได้แล้วให้ทานเถิด เพราะบุญทั้งหลายเป็นที่พึ่งของสัตว์เหล่านั้นในโลกหน้า ฯ
...................................................................
มรณกถา
ว่าด้วยความตาย (นัยที่ ๑)
ที่มา: มหาปรินิพพานสูตร ที.ม. ๑๐/๑๘๕
ยถาปิ กุมฺภการสฺส กตํ มตฺติกภาชนํ
ขุทฺทกญฺจ มหนฺตญฺจ ยญฺจ ปกฺกํ ยญฺจ อามกํ
สพฺพํ เภทปริยนฺตํ เอวํ มจฺจานชีวิตํ ฯ
แปล: ภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้นไว้ ไม่ว่าขนาดเล็กใหญ่ ไม่ว่าสุกหรือดิบ ทั้งหมดล้วนมีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด ชีวิตของสัตว์โลกทั้งหลายก็มีความแตกดับเป็นที่สุด ฉันนัน ฯ
...................................................................
มรณกถา
ว่าด้วยความตาย (นัยที่ ๒)
ที่มา: อุตราเถรีวัตถุ ชราวรรค ขุ.ธ. ๒๕/๑๘๘
ปริชิณฺณมิทํ รูปํ โรคนิทฺธํ ปภงฺคุณํ
ภิชฺชติ ปูติสนฺเทโห มรณนฺตํ หิ ชีวิตํ ฯ
แปล: ร่างกายนี้แก่แล้ว เป็นรังของโรค ทรุดโทรมผุพังไป ร่างกายอันเปื่อยเน่า ย่อมแตกดับไป เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด ฯ
...................................................................
จตุปุคคลกถา
ว่าด้วยบุคคล ๔ ประเภท
ที่มา: มหาปรินิพพานสูตร ที.ม.๑๐/๑๙๗
ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ
สํยมโต เวรํ น จียติ
กุสโล ว ชหาติ ปาปกํ
ราคโทสโมหกฺขยา นิพฺพุโต ฯ
แปล: บุญย่อมเพิ่มพูนขึ้นแก่ผู้ให้ทาน เวรย่อมไม่เกิดแก่ผู้สำรวมระวัง ผู้ฉลาดเท่านั้นย่อมละบาปได้ ผู้ชื่อว่าดับเย็นเพราะราคะ โทสะ โมหะสิ้นไป ฯ
...................................................................
ปัจฉิมโอวาทกถา
ว่าด้วยพระปัจฉิมโอวาท
ที่มา: มหาปรินิพพานสูตร ที.ม. ๑๐/๒๑๘
หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ฯ
แปล: ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขาร มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้บริบูรณ์ ด้วยความไม่ประมาทเถิด ฯ
...................................................................
นฆราวาสกถา
ว่าด้วยผู้ไม่อาจครองเรือนให้ดีได้
ที่มา: สิงคาลกสูตร ที. ปา. ๑๑/๒๕๓
น ทิวา สุปฺปสีเลน รตฺตินุฏฺฐานเทสฺสินา
นิจฺจํ มตฺเตน โสณฺเฑน สกฺกา อาวสิตุํ ฆรํ ฯ
แปล: คนที่ชอบนอนตอนกลางวัน เกลียดการลุกขึ้นตอนกลางคืน เมาสุราประจำ เป็นนักเล ไม่อาจครองเรือนให้ดีได้ ฯ
...................................................................
กุสีตปุคคลกถา
ว่าด้วยเรื่องของคนเกียจคร้าน
ที่มา: สิงคาลกสูตร ที.ปา. ๑๑/๒๕๓
อติสีตํ อติอุณฺหํ อติสายมิทํ อหุ
อิติ วิสฺสฏฺฐกมฺมนฺเต อตฺถา อจฺเจนฺติ มาณเว ฯ
แปล: ผลประโยชน์ทั้งหลายย่อมผ่านเลยคนที่ชอบอ้างว่า หนาวเกินไป ร้อนเกินไป เวลานี้สายเสียแล้ว ดังนี้ เป็นต้น แล้วทิ้งงานทิ้งการเสีย ฯ
...................................................................
คลังธรรมเล่ม ๑ (คลิ๊ก)
คลังธรรมเล่ม ๒. (คลิ๊ก)
คลังธรรมเล่ม ๓. (คลิ๊ก)
ห้องธรรมะแจก https://kalyanamitra.org/book/index_dhammabook.php
......................................................................................................
youtubeธรรมะวัดโสพิชฯจ.อุบล https://www.youtube.com/user/WatPitch/videos
เว็บหลักวัดโสพิชฯ http://www.watpitch.com/index.php
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น